top of page

Budecha Diary

 

Budecha ที่นี่เป็นโฮมสเตย์เล็กๆ อยู่ห่างจากเชียงใหม่ประมาณ 3 ชั่วโมง ตั้งอยู่ที่ตำบลแม่แดดน้อย อำเภอกัลยานิวัฒนา ใครอยากมาที่พักสวยๆ สะดวกสบาย ตกแต่งเก๋ๆ ขอให้ข้ามที่นี่ไปได้เลย เพราะสิ่งที่จะได้จากที่นี่ คือการอยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ ได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้านชาวปกาเกอะญออย่างใกล้ชิด และนี่ก็คือสิ่งที่คนเมืองอย่างเราต้องการและมองหามาตลอด : )

ทริปนี้วางแผนค่อนข้างกระชั้นชิด ตอนแรกก็แอบกลัวว่าจองช้าจะไม่มีตั๋วเครื่องบินไป โชคดีที่ดูเที่ยวบินราคาประหยัดในเวป traveloka.com แล้วยังพอมีที่ตั๋วเครื่องบินราคาถูกเหลือ ปกติเวลาจองตั๋ว เราจะดูเวปนี้ก่อนเลย ชอบตรงที่มีราคาของหลายสายการบินให้เปรียบเทียบ เป็นราคาจริง ที่สำคัญคือเปิดเวปเดียวเทียบและตัดสินใจซื้อตั๋วได้เลย ประหยัดเวลาไปได้เยอะ

โอม และเพื่อนๆได้เริ่มต้นเปิดที่พักที่นี่ ด้วยแนวคิดที่อยากจะให้คนกรุงได้เข้ามาพักผ่อน สัมผัสวิถีธรรมชาติ และได้มาเห็นการดำเนินชีวิตจริงๆของชาวปกาเกอะญอ บ้านคนท้องถิ่นเป็นยังไงที่พักก็ใกล้เคียงแบบนั้น ตัวบ้านถูกสร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม แต่มีน้ำอุ่นให้อาบเวลาอากาศหนาว อาหารแต่ละมื้อทำโดยฝีมือพี่อ้อมแม่ครัวชาวปกาเกอะญอแท้ๆ หลายเมนูไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่รสชาติอร่อยมากอย่างไม่น่าเชื่อ ด้านข้างที่พักมีแปลงปลูกพืชผักสวนครัว  มีเปลนอนเล่นใต้ต้นไม้ ถ้าใครเผลอไปนั่งแล้วล่ะก็รับรองว่าไม่อยากจะลุกแน่ๆ ถัดไปมีกระต๊อบหลังเล็กๆ สร้างขึ้นตามแบบดัั้งเดิมของคนที่นี่ เวลาที่แขกมาพักเต็ม โอมและกล้วยจะไปนอนที่นั่น 

ในตัวบ้านมุมที่ชื่นชอบที่สุด ก็คงจะเป็นมุมหนังสือในห้องรับแขกที่มีหนังสืออยู่เต็มไปหมด มีทั้งนิยาย มีหนังสือออาร์ต ชีวประวัติต่างๆ เยอะมาก เดาว่าโอมต้องเป็นคนชอบอ่านหนังสือแน่ๆเลย ช่วงเวลากลางวันแดดข้างนอกร้อน ไม่มีอะไรทำ หยิบหนังสือไปนอนอ่านเล่นในเปลใต้ต้นไม้ มันเป็นความรู้สึกสบายแบบที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว slowlifeจริงๆ แว๊บนึงแอบคิดว่าถ้าวันนึง เราพร้อมที่จะทิ้งทุกอย่างในเมือง มาใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบนี้ กินใช้อย่างพอเพียง ชีวิตคงมีความสุขไม่น้อย

Day1 แรกพบ

 

มองนาฬิกาข้อมือ เป็นเวลา9โมงครึ่งพอดีที่อั้มขับรถมาจอดเพื่อรับเราสองคนไปยังบูเดอช่า บ้านใกล้ชิดดวงดาว “ ที่นั่นจะเป็นยังไงกันนะ “

สมองคิดไปพร้อมทั้งมองวิวข้างทางไปด้วย การออกจากชีวิตประจำวันเดิมๆเพื่อไปเจอสิ่งใหม่ๆ คือสิ่งที่ฉันโปรดปรานมาโดยตลอด

ชอบความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจอกับอะไร การได้เรียนรู้และทำความรู้จักกับสิ่งแปลกใหม่ คือความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งในชีวิต มันทำให้เรารู้จักโลกนี้มากขึ้น

 

ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ได้ไม่นาน ถนนที่เรียบๆก็เริ่มจะคดเคี้ยวขึ้นทุกที ทำให้นึกถึงครั้งที่ขึ้นไปสอนเด็กๆบนดอย รถวิ่งไปบนถนนที่ขรุขระ ผ่านโค้งนับร้อย ถ้าคราวนั้นไม่ได้กินยาแก้เมารถล่ะก้อ มีหวังสลบก่อนไปถึงโรงเรียนแน่ คราวนี้เห็นท่าไม่ดี รีบหยิบเอายาแก้เมารถที่เตรียมไว้กินกันไว้ก่อน

ตาลขยับตัวพร้อมกับตั้งท่าจะหลับยาว “นอนละนะ” ตาลหันมาบอกพร้อมหลับตาพริ้ม ทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล 3 ชั่วโมงจากเชียงใหม่ คงพอมีเวลาให้หลับเอาแรงได้บ้าง

 

ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อได้ยินเสียงอั้มพูดเบาๆ “ถึงร้านอาหารแล้วครับ เราจะแวะทานอาหารเที่ยงที่นี่ก่อนขึ้นไปบูเดอช่า” ร้านอาหารที่นี่เป็นร้านไม้ธรรมดา แต่อาหารรสเด็ดมากโดยเฉพาะยำเห็ดเข็มทองทอดกรอบ น้ำยำเข้มข้น แซ่บ ยิ่งคำไหนตักไปเจอเห็ดทอดกรอบด้วยแล้ว ฮึ้มม อร่อยจิงๆ อาการง่วงนี่แทบจะหายเป็นปลิดทิ้งจากมื้อนี้  “พี่โอมบอกว่าถึงแล้วจะพาไปหาเด็กๆในหมู่บ้าน จะซื้อขนมเตรียมไว้แจกเด็กก็ได้นะครับ” อั้มบอก เรากับตาลหันมาสบตากัน เย๊! จะได้ไปเจอเด็กๆด้วย พอดีข้างร้านอาหารมีขายของชำก็เลยแวะซื้อขนมปี๊ปและปีโป้ไว้ให้เด็กๆตอนแจอกัน

 

หลังจากผ่านเส้นทางคดเคี้ยวไปอีกพักใหญ่ๆ รถก็มาจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้านไม้ธรรมดาๆหลังนึง “ถึงแล้วหรออั้ม” เราถามอั้มเพื่อความแน่ใจ “ถึงแล้วครับ” อั้มตอบพร้อมกับเปิดประตู เรากับตาลรีบจัดแจงหยิบสัมภาระและเสบียงที่เตรียมมาลงจากรถ

เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับโอม ชายหนุ่มร่างเล็กที่มีรอยยิ้มที่แสนจะจริงใจ โอมเข้ามาทักทายตามประสาเจ้าบ้าน และให้กล้วย น้องผู้หญิงที่ยิ้มเก่งพอๆกัน เป็นคนพาพวกเราเก็บกระเป๋าในห้องพัก

 

ความสงบร่มรื่นคือความรู้สึกแรกหลังจากได้มายืนที่บูเดอช่า บ้านใกล้ชิดดวงดาว มองผ่านระเบียงไม้ออกไปก็จะเห็นเป็นวิวภูเขากับต้นไม้ สีเขียวของใบไม้ตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า ลมเย็นพัดมาเบาๆ ทำให้รู้สึกสดชื่นเข้าไปถึงหัวใจ เราสูดหายใจเข้าลึกๆตามประสาคนเมืองที่ตื่นเต้นเวลาได้สัมผัสกับธรรมชาติ  “สดชื่นจัง ตาล!ไปสำรวจรอบๆบ้านกันมั๊ย!?”  ฉันรีบจัดแจงหยิบกล้องคู่ใจ พร้อมกับชวนตาลไปสำรวจบริเวณรอบๆ

 

บ้านไม้หลังนี้มีใต้ถุนสูง จะเดินลงไปด้านล่างก็ต้องใต่บันไดท่อนไม้ลงไป ฉันก้าวลงอย่างๆเงอะๆงะๆ ด้วยความที่ยังไม่ชินและกลัวตก พอลงไปถึงก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นแปลงผักชี สีเขียวของผักชีพร้อมกลิ่นหอมๆผสมกลิ่นดินลอยขึ้นมาแตะจมูก ชวนให้หิวข้าวอีกรอบ ถัดออกไปเป็นเปลที่ผูกไว้กับต้นไม้ เงาของร่มไม้และบรรยากาศตอนนั้นเหมือนมีแรงดึงดูดให้ลงไปนอนที่เปลนั้น “ขอนอนเล่นตรงนี้แป๊ปนึงน๊า” ไม่น่าเชื่อแค่ลงไปนอนเล่นๆ หลับตาเฉยๆแค่สองสามนาทีแต่เกือบจะหลับไปจริงๆ ถ้าไม่มีมือตาลมาเขย่า “เฮ้ยย ตื่นๆจะหลับอีกแล้วหรอ” เสียงตาลปลุกทำให้ตื่นจากภวังค์ “ตาลลงมานอนสิ สบายยยยมากๆอ่ะ” ตอนที่นอนอยู่ในเปลใต้ต้นไม้ แล้วเงยหน้ามองด้านบน เห็นยอดไม้สีเขียวๆกับแสงแดดรำไร มันเป็นความรู้สึกที่ดี๊ดี สบายที่สุดเลย

“พี่ๆพร้อมรึยังคะ เดี๋ยวจะพาไปเดินเล่นในหมู่บ้าน ไปแจกขนมเด็กๆด้วย” เสียงกล้วยตะโกนเรียก เพิ่งมารู้ที่หลังว่ากล้วยก็คือครูอาสารุ่นแรกที่ไปกับมูลนิธิเกื้อฝันเด็กเหมือนกัน ทำไมโลกถึงกลมขนาดนี้ แบบนี้ล่ะมั้งที่เค้าบอกว่า โลกจะดึงดูดคนที่มีอะไรคล้ายๆกันให้มาเจอกัน ฉันเชื่อว่าการที่เราได้เจอใครซักคน คงไม่ใช่ความบังเอิญ น่าจะเป็นเป็นพรหมลิขิตซะมากกว่า(ว่าไปโน่น ฮ่าๆ) 

 

จากที่พักขับรถไป 5 นาที เราก็เดินเท้าต่อเข้าไปในหมู่บ้าน ฉันตื่นเต้นที่จะได้เห็นวิถีชีวิตจริงๆของชาวบ้านและพวกเด็กๆ  ที่แรกที่แวะก็คือ ศูนย์เด็กเล็กบ้านแม่แดด ตอนไปถึงเด็กๆเหลือไม่เยอะแล้ว แต่ก็มีพอที่จะได้เห็นแววตาแป๋วๆที่เปี่ยมไปด้วยความสุขเวลาได้รับขนมจากพี่ๆ หลังจากให้ขนมและคุยเล่นกับเด็กๆพักนึงแล้ว เราก็เดินเล่นในหมู่บ้านต่อ ช่วงเวลาสั้นๆที่เดินอยู่ในหมู่บ้านเจอสัตว์หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นลูกหมา แมว ไก่ และเจ้าหมูตัวอ้วน สัตว์ทุกตัวอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข “อู๊ดๆ หงึดๆๆ” ฉันหันไปตามเสียง เห็นชาวบ้านคนนึงกำลังป้อนอาหารให้หมูอยู่ มองไม่เห็นตัวมันเพราะมีคอกกั้นอยู่ รู้แต่ว่าเสียงกินข้าวมันดูน่าอร่อยมากจริงๆ ฉันหันไปถามโอม “โอม เราเข้าไปดูใกล้ๆได้มั๊ย” โอมหัวเราะพร้อมทั้งบอกว่าได้เลย ตามสบาย ฉันรีบปีนท่อนไม้ เพื่อมองลงไปในเล้าหมู ภาพที่เห็นก็ทำให้อดยิ้มไม่ได้ เจ้าหมูตัวน้อยกำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ข้างๆเป็นไก่สองตัวที่คอยเล็ง จิกอาหารที่หมูกินหล่นมาข้างๆจาน ที่นี่ช่างมีแต่การแบ่งปันจริงๆ

หลังจากนั้น โอมกับกล้วยก็พาเราไปที่บ้านพี่อ้อม พี่อ้อมไม่อยู่เพราะกำลังเตรียมทำกับข้าวให้พวกเราที่บูเดอช่า อยู่แต่คุณยาย  แม่ของพี่อ้อมที่ส่งยิ้มให้เราจากบนระเบียงบ้าน เมื่อส่งเสียงทักทายกันแล้ว พวกเราก็ขออนุญาติขึ้นไปบนบ้าน เห็นคุณยายกำลังผ่าหยวกกล้วยเพื่อเป็นอาหารให้หมูอย่างขมักเขม้น ท่าทางคุณยายคล่องแคล่วและหั่นหยวกกล้วยท่อนยาวด้วยความชำนาญ  “ยายๆขอตาลลองผ่ามั่งได้มั๊ยคะ” ตาลมองยายเพลินๆเลยอยากจะอาสาลองหั่นดูบ้าง ยายยิ้มอ่อนไม่ว่าอะไร พร้อมทั้งลุกให้ตาลนั่งแทนที่

ฉับแรกของตาลเป็นอะไรที่ทุลักทุเลมาก ฮ่าๆๆ ฉันนั่งดูตาลหั่นด้วยความสนุก “โอ๊ย ทำไม มันหั่นยากขนาดนี้ล่ะคะยาย ดูยายทำพริ้วมากๆ แต่พอทำเองทำไมมันหั่นยากขนาดนี้” ตาลบ่นพร้อมทำหน้าเหมือนออกแรงสุดกำลัง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหัวเราะจนท้องแข็ง

 

ตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า อากาศก็เริ่มหนาวขึ้นทีละนิด ความหิวก็เช่นกัน กลิ่นอาหารหอมๆที่พี่อ้อมทำเตรียมไว้โชยแตะจมูกเมื่อกลับไปถึงบูเดอช่า ฉันและตาลตักอาหารฝีมือชาวปกาเกอะญอเข้าปากด้วยความหิว พืชผัดสดๆนี่มันอร่อยจริงๆ เรานั่งมองแสงสีทองที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า รายล้อมไปด้วยเพื่อนใหม่ที่คุยกันอย่างถูกคอ 

ก่อนนอนได้นั่งคุยกับพี่ตั้มและพี่ปุญอาจารย์มหาวิทยาลัยรังสิตที่พาน้องๆสถาปัตย์ปีหนึ่งและปีสี่ มาทำโปรเจค 4+1 สำนึกคืนถิ่น เกี่ยวกับบ้านของชาวปากาเกอะญอ ได้ฟังน้องๆและอาจารย์พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกัน จิบเบียร์เย็นๆ หน้ากองไฟ ท่ามกลางอากาศหนาวๆ ได้ฟังเสียงเพลงและเสียงหัวเราะไปพร้อมๆกัน “ มีความสุข”

 

Day2 รวมพล

 

เสียงนาฟิกาปลุกดังขึ้นตอนหกโมงเช้า ฉันนอนซุกอยู่ใต้ผ่าห่มอุ่นแทบไม่อยากจะลุกเลย แต่ด้วยความเคยชิน เวลาไปเที่ยวมักจะตื่นมารอดูแสงแรกของวันเสมอ แค่คิดถึงแสงทองตอนเช้า ความง่วงก็หายเป็นปลิดทิ้ง รีบลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน เตรียมพร้อมออกเดินทาง เรานัดโอมกับกล้วยไว้หกโมงครึ่ง หกโมงสิบห้าทุกคนก็มาพร้อมกันที่ระเบียงหน้าบ้านแล้ว ตาลชงโอวัลติลร้อนมาแบ่งกันจิบให้ร่างกายอบอุ่น ท่ามกลางอากาศหนาว 

จากบ้านใช้เวลาประมาณ10นาที ไปถึงจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น ด้วยความคุ้นเคย เรารีบตั้งขาตั้งกล้องเตรียมถ่ายรูป ท้องฟ้าจากที่สลัวๆก็เริ่มสว่างขึ้น ฉันยืนมองไปที่ขอบฟ้า พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว อยู่มุมไหนนะ ตาก็จ้อง พยายามมองหาแสงสีทอง

 

ณ.จุดหนึ่งที่ขอบฟ้าแสงสีเหลืองทองค่อยๆเปล่งประกายทะลุหมู่เมฆลงมายังยอดไม้ใบหญ้า ส่องแสงลงมาให้โลกนี้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ฉันยืนนิ่ง เฝ้ามองนาทีนั้นอย่างตั้งใจ ช่วงเวลาที่ท้องฟ้าสวยที่สุดก็คือตอนนี้ เสียงนกร้องจิ๊บๆท้วงทำนองสดใส ราวกับจะบอกว่าได้เวลาเริ่มวันใหม่แล้ว

ทุกคนยืนนิ่งไม่มีใครพูดกัน ต่างเฝ้าดูความสวยงามของธรรมชาติอย่างเงียบๆ ถ้าได้ยินเสียงนกร้องและเห็นวิวแบบนี้ทุกเช้าก็คงจะดี ฉันแอบเพ้ออยู่ในใจคนเดียว หลังจากที่พระอาทิตย์ขึ้นเรียบร้อย เราถ่ายรูปเล่นกันแถวๆนั้นเก็บไว้เป็นที่ระลึก และก็พร้อมใจกันขึ้นรถ ถึงเวลาอาหารเช้าอีกแล้วสินะ 

พี่อ้อมทำข้าวต้มไก่เป็นอาหารเช้า อิ่มอร่อยเช่นเคย ที่ประทับใจที่สุดคือ การที่พี่ตั้มเดินลงไปเด็ดผักสดๆจากดินขึ้นมากิน “ ชิมค่ะชิม ผักสดปลอดสารพิษ สีเขียวน่าทานมาก” ฉันหยิบผักใบสวยขึ้นมาเคี้ยวตามคำชวนของพี่ตั้ม ตาก็มองแปลงผักไปด้วย แต่ละคำนี่มันได้ฟิลลิ่งจริงๆ 

ส่วนพี่อ้อมแม่ครัวก็ต้มน้ำร้อนมาเทใส่ใบชา นั่งตากแดดให้อุ่น พร้อมทั้งบอกว่า จิบชาร้อนๆแล้วพี่ชื่นใจทุกที ฟังพี่อ้อมพูดเสร็จ ฉันรีบไปกดน้ำร้อนมานั่งจิบชามั่ง "ฮึ้มม ชื่นใจจริงด้วย"

วันนี้จะเป็นวันที่ โน๊ต คอลิ่น และ กุล เพื่อนจากกรุงเทพตามขึ้นมาสมทบที่นี่ โอมบอกว่า ถ้าเพื่อนๆมาถึงแล้วจะพาไปไร่สตอเบอรี่ปลอดสารพิษ ตาลได้ฟังก็ยิ้มแก้มปริ เพราะสตอเบอรี่คือของโปรดนาง ช่วงเวลาว่างระหว่างรอ ฉันเลือกที่จะเดินเข้าไปหยิบหนังสือและนอนอ่านเล่นที่ห้องรับแขก 

ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว ที่ไม่ได้มีช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนได้อยู่กับตัวเองแบบนี้ จริงๆแล้วฉันเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก แต่ด้วยภาระหน้าที่ และความวุ่นวายในเมือง ทำให้เวลาแต่ละวันหมดไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊ปๆก็ได้เวลาเข้านอนอีกแล้ว ยังไม่ทันได้ทำอะไร

หนังสือที่ชอบซื้อมาก็วางไว้บนชั้นจนฝุ่นจับ ไม่ได้อ่านซักที  แต่ที่นี่ ณ.ตอนนี้ สัญญาณมือถือไม่มี ติดต่อใครไม่ได้ โทรศัพท์จึงถูกเก็บไว้ในกระเป๋า

ฉันนอนอ่านนิยายอยู่บนเสื่ออย่างไม่มีอะไรต้องกังวล เจ้าแมวปริศนาเดินอย่างเชื่องช้า มาล้มตัวนอนข้างๆ ตาลก็นอนอ่านหนังสืออยู่ใกล้ๆ มีความสุขจัง เผลอยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นช่วงเวลาที่มีคุณภาพจริงๆ

เผลอแป๊ปเดียวอ่านหนังสือเกือบจะหมดเล่ม มองนาฬิกาตอนนี้บ่ายโมงครึ่งแล้ว เพื่อนๆก็คงใกล้จะถึงแล้วล่ะ ฉันเดินออกไปดูตรงระเบียงพี่อ้อมทำอาหารกลางวันกลิ่นหอมฉุยตามเคย ท้องร้องจ๊อกๆก็เพราะกลิ่นอาหารพี่อ้อมนี่แหละ หลังจากยกสำรับกับข้าวมาตั้งบนโต๊ะ รถก็วิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้าน เย๊! เพื่อนๆมาแล้ว “ เฮลโหล โน๊ต Hi Colin ”  ฉันส่งเสียงทักทายเพื่อน โน๊ตแนะนำให้รู้จักกุล เพื่อนที่โน๊ตชวนมาด้วย

“หิวกันมั๊ย” ทุกคนพยักหน้าพร้อมกันพร้อมทั้งพูดว่า หิว!! ฮ่าๆ งั้นเรามากินข้าวเที่ยงพร้อมกันเลย ขอต้อนรับสู่บูเดอช่าด้วยอาหารดอยสุดอร่อย

ทุกคนกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ปริมาณการกินเยอะกว่าตอนอยู่กรุงเทพเกือบเท่านึง ไม่รู้ทำไม สงสัยเป็นเพราะ อากาศดี อารมณ์ดี เลยเจริญอาหารมั้ง ฉันเดา หลังจากทานข้าวอิ่ม เพื่อนๆก็เอากระเป๋าไปเก็บในห้อง นั่งเล่นพักผ่อนให้หายเหนื่อยซักพัก ก็ได้เวลาไปไร่สตอเบอรี่แล้ว

ระยะทางไปจากบ้าน ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่ทางก็โหดพอสมควร โชคดีทางที่ไปผ่านตลาดเล็กๆ เลยได้แวะลงไปดูแป๊ปนึง ชาวเขาเอาเสื้อผ้าสีสันสดใสมาขายกันเต็มไปหมด ชาวบ้านต่างก็ทยอยอุ้มลูกออกมาเดินเที่ยว หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางต่อ มีบางช่วงเป็นทางโค้งของเขา ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความหวาดเสียว พลางคิดในใจ นี่ถ้าคนขับรถไม่แข็งต้องอันตรายแน่เลย 

วิวข้างทางสวยมาก มีสวนพริกและไร่สตอเบอรี่เต็มไปหมด หันไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ และแล้วพวกเราก็มาถึงไร่สตอเบอรี่ เย๊ๆ!!

ฉันรีบกระโดดลงไปจากรถด้วยความตื่นเต้น ที่นี่อยู่บนยอดเขามองลงไปเห็นวิวสีเขียวสุดลูกหูลูกตา ไร่สตอเบอรี่สีเขียวเข้ม เมฆขาวๆล่องลอยอยู่เต็มท้องฟ้าสีคราม อากาศเย็นสดชื่น นี่ฉันฝันไปรึเปล่า ชอบบรรยากาศแบบนี้มากๆ 

หลังจากที่ทุกคนได้อาวุธประจำตัวก็คือถังสีดำไว้เด็ดสตอเบอรี่ใส่ ก็ออกปฏิบัติการเด็ด ฮ่าๆ มันสนุกมากจริงๆ “ดาว ตรงนั้นๆ ลูกใหญ่มาก สีแดงๆเลย ด้านขวา” ตาลนี่ตาดีชะมัดอยู่แถวอื่น ยังมองมาเห็นสตอเบอรี่ของแถวเราอีก “ไหนๆ อันนี้หรอ” ฉันเหลือบไปเห็นสตอเบอรี่ลูกสีแดงสด ซ่อนอยู่ใต้ใบของมัน “หูวว ลูกใหญ่มาก” ฉันรีบเด็ด ตาลหันมายิ้มแต่ก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นฉันเอาสตอเบอรี่ทั้งลูกเข้าปาก “อั๊มม!” แค่คำแรกก็หวานจับใจ “เฮ้ยย กินตอนนี้เลยหรอ อร่อยมั๊ย” ตาลถามด้วยความอยากรู้  “อร่อยสุดๆ หวานมาก ไม่มียาฆ่าแมลง ปลูกสดๆแปลว่าชิมได้ ฮ่าๆๆ” เราใช้เวลาที่นี่เกือบชั่วโมง เด็ดไปชิมไป ถ่ายรูปไป อร่อยและสนุกมากจริงๆ

พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าอีกแล้ว อากาศก็เริ่มเย็น พวกเรากระโดดขึ้นรถพร้อมสตอเบอรี่สดๆถุงใหญ่ อาหารมื้อเย็นวันนี้หอมฉุยเหมือนเคย หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งไปมาในไร่สตอเบอรี่ มื้อเย็นจัดหนักกันทุกคนจนพุงกาง หลังจากนั้นนั่งคุยเล่นกันซักพัก ก็ทยอยอาบน้ำและเข้าห้องเอนกายพักผ่อน

Day 3  ความสุข

 

เช้านี้ลืมตาขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นอีกแล้ว กลิ่นของไอเย็นยามเช้ามันช่างหอม สบาย ฉันขยับตัวในผ้าห่มนอนยิ้ม เช้าอีกแล้วสินะ วันนี้ก็นัดกับโอมเหมือนเคยว่าจะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น กุลก็ว่าจะไปด้วยกัน แต่โน๊ตกับคอลิ่นขอตัวเพราะจะรอให้พระอาทิตย์ขึ้นก่อนแล้วค่อยตื่นไปวิ่งจ๊อกกิ้ง หกโมงครึ่งทุกคนก็มาพร้อมกันที่ระเบียงหน้าบ้าน จุดที่ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไกลกว่าทุกที แถมพอจอดรถแล้วยังต้องเดินไปอีกพักใหญ่ๆ ฝ่าด่านธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้าเข้าไปเรื่อยๆ ฉันเพลินกับการถ่ายรูปดอกไม้ใบหญ้าเก็บไว้ดูเป็นความทรงจำจนเดินรั้งท้าย “ดาว เดินเร็วหน่อย โอมกับกุลหายไปไหนแล้วไม่รู้” ตาลส่งเสียงเรียก ฉันรีบเร่งฝีเท้าเดินให้ทันเพื่อน เห็นหัวเพื่อนอยู่ลิบๆ และในที่สุดก็ได้ยินเสียงโอมพูดว่า ถึึงแล้วๆ

ภาพตรงหน้า ทำให้ทุกคนยืนนิ่ง มันสวยจนไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดยังไง จากจุดนี้ ฉันรู้สึกเหมือนท้องฟ้าใกล้เรานิดเดียว เอี้อมมือไปจับก็ถึง วิวรอบๆเป็นวิวภูเขาน้อยใหญ่กับท้องฟ้ามาบรรจบกัน เห็นยอดดอยอินทนนท์ชัดเจน สวยๆๆๆ เสียงนกร้อง ขับขานเพลงกล่อมพวกเราเหมือนโดนต้องมนต์ ฉันสูดหายใจลึกๆ เหมือนที่พ่อเคยสอนไว้ว่าเวลาเจออากาศบริสุทธิ์ให้สูดหายใจให้เต็มปอดเลย หลังจากที่ยืนมองแสงเช้าจนอิ่มอกอิ่มใจ ก่อนกลับพวกเราถ่ายรูปรวมเป็นที่ระลึกหนึ่งรูปแล้วก็ขึ้นรถกลับ

พอไปถึงบูเดอช่า กิจวัตรประจำวันก็เหมือนเดิม ทานอาหารเช้าเสร็จ พวกเราก็ไปนั่งเล่นนอนเล่นเอกเขนกอยู่ในห้องนั่งเล่น นี่สินะ ที่เค้าเรียกกันว่า Slow life การที่เราไม่มีโทรศัพท์ ไม่ต้องคอยกังวลเปิดเฟสบุ๊ค ไม่ต้องเปิดลายดู มันดีมากๆเลยนะ เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้พูดคุยกันมากขึ้น เหมือนสมัยก่อนที่ยังไม่มีเทคโนโลยีเข้ามาในชีวิตมนุษย์มากนัก

 

ระหว่างที่นอนอ่านหนังสือ กำลังจะเคลิ้มหลับเต็มที เสียงกีต้าร์และเสียงเล็กๆก็ลอยมา “เธอเคยถามกับฉัน ที่ฉันรักเธอ ว่าอยากจะรู้รักเพราะอะไร”  ♩ ♪ ♫ ♬ ฉันเงี่ยหูฟัง พลางอมยิ้ม เสียงเพลงนี้ทำให้ฉันถึงกับต้องลุกขึ้นไปหาต้นตอของเสียง

 

ใต้ต้นไม้ต้นนั้นที่มีเปลผูกอยู่ ปีใหม่ลูกสาวของพี่อ้อม กำลังตั้งใจร้องเพลง โอมนอนดีดกีตาร์อยู่เปลข้างๆ สำเนียงแปร่งๆที่แฝงไปด้วยความพยายาม ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเดินลงไปนั่งฟังใกล้ๆ “ปีใหม่ พี่ดาวขอนั่งด้วยน๊าา เส้นหมี่เพื่อนของปีใหม่เขยิบให้ฉันนั่งข้างๆ ในเปลเล็กๆนั้น มีปีใหม่ เส้นหมี่ และฉัน หวังว่ามันคงจะไม่ขาดนะ...  พอเพลงนี้จบโอมก็สอนร้องอีกเพลงต่อ ระหว่างที่เด็กๆ นั่งร้องเพลง นกตัวเล็กตัวน้อยก็ไม่ยอมน้อยหน้า ส่งเสียงร้องเพลงบ้าง ฉันนั่งยิ้มมีความสุขกับช่วงเวลานี้จริงๆ ไม่รู้ว่าพิมพ์คำว่า“ความสุข”ไปกี่ครั้งแล้วตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่นี่ 

บ่ายแก่ๆวันนี้ พวกเราออกไปเดินเล่นในหมู่บ้านอีกครั้ง ได้พูดคุยพบปะกับชาวบ้านชาวปกาเกอะญอ ทุกคนน่ารัก อัธยาศัยดีและยิ้มเก่งมากๆ แวะไปบ้านไหน เจ้าของบ้านก็มักจะให้ผักผลไม้ที่พวกเขาปลูกติดมือกลับมาเสมอ ความคิดคนกรุงอย่างฉันค่อยๆเปลี่ยนหลังจากได้มาใกล้ชิดกับผู้คนที่นี่ ฉันหลงรักธรรมชาติ ความเรียบง่าย และการใช้ชีวิตแบบพอเพียง มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ หัวใจมันอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก ฉันหวังว่าซักวันฉันจะมีชีวิตแบบนี้บ้าง ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากมาย ใช้ชีวิตแบบสมถะ ได้มองดวงเดือนและดวงดาวนับพันยามค่ำคืน และได้ยินเสียงนกร้องเพลงในยามเช้ากับอากาศที่บริสุทธิ์

 

พวกเราเดินมาถึงบ้านหลังหนึ่ง มองขึ้นไปเห็นแม่บ้านชาวปกาเกอะญอนั่งทอผ้าอยู่ โชคดีจริงๆ เราขออนุญาติขึ้นไปนั่งดูใกล้ๆบนบ้าน อื้อหืออ! ไม้อะไรไม่รู้ตั้งหลายอัน ใช้ทอสลับกันไปมา ท่าทางจะทำยากน่าดู ชาวบ้านที่นี่เค้าเก่งจัง ผ้าที่ทอออกมาลวดลายสวยงาม ดูปราณีตมากๆ  พี่อ้อมแม่บ้านของเราไม่รอช้า รีบขายของแทนเพื่อนบ้าน “เค้ามีขายด้วยนะ มีหลายสีให้เลือก สั่งทอพิเศษก็ได้” พวกเรานั่งหัวเราะกับความน่ารักของพี่อ้อม  โน๊ตอยากได้ชุดยาวไปใส่พอดีก็เลยจัดแจงเลือกสีผ้า เลือกด้ายและสั่งทำขึ้นมาพิเศษ

 

พวกเรานั่งคุยเล่นพักใหญ่ๆก็ขอตัวกลับบ้าน การเดินเล่นในหมู่บ้านนี้ ทำให้ฉันได้เห็นสิ่งแปลกใหม่มากมาย ไม่ว่าจะไปไก่ตัวสวยที่เค้าเอามาไว้ล่อไก่ตัวอื่น ได้เห็นยุ้งข้าวของจริง ได้เห็นเมล็ดกาแฟสดๆ ผักผลไม้หน้าตาแปลกๆ ได้เห็นข้างในบ้านและเตาไฟแบบดั้งเดิมของชนเผ่านี้ ทุกอย่างคือประสบการณ์และความประทับใจ 

กลับไปถึงบูเดอช่า พวกเราก็เจอกับพี่ตั้ม หนึ่งในหุ้นส่วนของที่นี่ มาสมทบกับเพื่อนๆประมาณ 8 คน พี่ตั้มเป็นคนน่ารัก อารมณ์ดี และอัธยาศัยดีมากๆ คืนนี้บูเดอช่าคึกคักไปด้วยผู้คนและเสียงเพลง หลังอาหารเย็น โอมได้ก่อกองไฟตรงระเบียงบ้านเพื่อให้ความอบอุ่น

และเชิญลุงในหมู่บ้านมาเป่าเครื่องดนตรีพิเศษของที่นี่ให้เราได้ฟังกัน เสียงเพลงกับบรรยากาศรอบกองไฟใต้แสงดาวและแสงเดือน มันช่างโรแมนติคดีจริงๆ

 

คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วสินะ ที่เราจะอยู่ที่นี่ ฉันนึกถึงภาระหน้าที่ที่รออยู่ในกรุงเทพแล้วแอบใจหาย คิดถึงอากาศสดชื่น คิดถึงความเขียวขจี กลิ่นหอมของดินและน้ำค้างยามเช้า “จะกลับมาที่นี่อีก สัญญา” ฉันพูดกับตัวเองในใจ

Day 4 จากลา

 

วันนี้ไม่ออกไปดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว วันสุดท้ายขอตื่นสายซักวันนึง ปล่อยให้ร่างกายได้นอนยาวหน่อย ตื่นสายในที่นี้คือ 8โมงเช้า เพราะเรามีนัดกับคุณยายในหมู่บ้านว่าจะไปช่วยเก็บเมล็ดกาแฟ หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ พวกเราก็เดินออกไปหมู่บ้านพร้อมเพรียงกัน

เราสายไปสิบนาที คุณยายไม่อยู่ที่บ้านแล้ว คงออกไปสวนแล้วแน่ๆ เดินไปซักพักก้ได้ยินเสียงกล้วยร้องทักกับยาย

“อ้าวยาย อยู่สวนนี้หรอ หนูเกือบเดินไปผิดที่แล้ว โชคดีนะที่เห็นยายก่อน” ยายยิ้มดีใจที่เห็นพวกเราตั้งหลายคนมาเป็นลูกมือในการเก็บเมล็ดกาแฟวันนี้ เพิ่งจะรู้เมล็ดกาแฟมันหน้าตาเป็นอย่างงี้นี่เอง พวกเราสนุกมาก เด็ดกันใหญ่ แต่ก็คล่องแคล้วสู้ยายไม่ได้ ยายนี่มืออาชีพเลย เด็ดแป๊ปๆเมล็ดกาแฟก็เต็มถังแล้ว

 

ฉันเห็นยายโยนเมล็ดกาแฟกระเด็นออกนอกถังหลายรอบ ก็เลยอาสาถือถังให้อยู่ในตำแหน่งใกล้ๆมือยาย มือซ้ายถือถังที่เต็มไปด้วยเมล็ดกาแฟ มือขวาถือกล้องถ่ายยายตอนเก็บกาแฟไปด้วย มันทั้งขำ ทั้งหนัก กล้ามจะขึ้นก็คราวนี้แหละ ยายหันมามอง พร้อมทั้งหัวเราะท่าทางเงอะๆงะๆของฉัน ทั้งฉันทั้งยายมุดไปอยู่ใต้ต้นกาแฟ น้ำค้างที่เกาะบนยอดใบก็กระเด็นใส่หน้า เวลาที่ยายคว้ากิ่งกาแฟไปเด็ด บางทีก็มีมดกระเด็นมาเดินอยู่บนหัวด้วย ฮ่าๆ สนุกจริงๆ เราจะหาโมเม้นแบบนี้ได้ที่ไหนกัน อีกแป๊ปก็ได้ยินเสียง กุ๊กๆๆเข้ามาใกล้ แม่ไก่กำลังพาลูกไก่คุ้ยเขี่ยหาหนอนเป็นอาหารเช้า พวกมันไม่กลัวคนเลยจริงๆ บางตัวถึงกับมาจิกเชือกรองเท้า สงสัยคิดว่าเป็นหนอนตัวใหญ่ เวลาจะขยับแต่ละทีต้องคอยดูว่าไม่มีลูกไก่อยู่แถวนี้ กลัวจะเหยียบมันเข้า

 

พวกเราเอาเมล็ดกาแฟที่เก็บได้มาเทรวมกันใส่กระสอบที่ยายตั้งไว้ เผลอแป๊ปเดียวได้ตั้งเยอะแน่ะ ยายคงดีใจที่มีลูกสมุนมาช่วยเก็บตั้งหลายคน...

และแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องจากลา เพราะเวลาตอนนี้ใกล้จะสิบเอ็ดโมงแล้ว พวกเรานัดกับอั้มไว้ให้มารับไปสนามบินตอนเที่ยง เดี๋ยวต้องกลับไปเตรียมเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อย ก่อนกลับเราถ่ายรูปหมู่กับคุณยายเก็บกาแฟไว้รูปนึงเพื่อเป็นที่ระลึก : )

เก็บกระเป๋าได้ไม่นาน รถอั้มก็มาจอดหน้าบูเดอช่า ถึงเวลากลับจริงๆแลัวสินะ ฉันมองบ้านไม้หลังนี้ด้วยความผูกพัน ถึงแม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ได้ใช้ชีวิตที่นี่ แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองกลับได้อะไรเยอะมากจริงๆ ได้อยู่กับตัวเอง ได้มีเวลาคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ได้ชำระล้างจิตใจที่มีแต่เรื่องรกๆให้สดใสและสดชื่น ได้รู้จักความพอเพียง ได้รู้ว่าแบบนี้แหละความสุขที่แท้จริง

 “ขอบคุณบูเดอช่า” และขอบคุณทุกๆคนที่ร่วมใจกันก่อตั้งที่นี่ขึ้นมา ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหน ฉันอยากให้บูเดอช่าเป็นแบบบูเดอช่าวันนี้ อยากให้คนที่ได้แวะเวียนมาที่นีี่ รู้สึกอิ่มเอิบใจแบบที่ฉันรู้สึก แล้วเราคงได้พบกันใหม่

 

สนใจไปพักที่บูเดอช่า ดูรายละเอียดการจองห้องพักได้ตามลิ้งนี้เลยค่ะ www.budecha.com www.facebook.com/budecha

bottom of page