top of page

JEJU ISLAND

JEJU ISLAND เกาะเชจู

 

ตอนแรกที่ได้ยินชื่อเกาะนี้ นึกภาพว่าที่นี่คงเป็นเกาะเล็กๆ มีทะเล มีธรรมชาติ แต่พอได้ไปสัมผัสจริงๆแล้วก็รู้ได้เลยว่า ที่ผ่านมาคิดไปเอง 5555  จริงๆแล้วที่เกาะเชจูมีธรรมชาติ แต่ขนาดของเกาะไม่เล็กอย่างที่คิดไว้ มันใหญ่มาก ถ้าจะเที่ยวให้ทั่วนี่ต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 วันเลยทีเดียว (เพื่อนเกาหลีบอก) แต่ด้วยระยะเวลาที่มีจำกัด เราแพลนมาที่นี่แค่1 คืนสองวันเท่านั้น แล้ววันแรกที่มาถึง ฝนดันตกทั้งวัน ก็เลยไปเท่าที่ได้ละกันเนอะ อย่างน้อยก็ได้มาเห็น เดี๋ยวจะเรียงลำดับตามสถานที่ๆได้ไปเจอ

 

เกาะนี่อยู่ทางตอนใต้ของเกาหลีใต้ นั่งเครื่องจาก Seoul 1 ชั่วโมง ด้วยสายการบินในประเทศ (T way )ราคาตั๋วไปกลับประมาณ 3000 กว่าบาทต่อคน (ราคาแต่ละวัน ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับเดินทางและโปรโมชั่นด้วย) บินไฟลท์เช้าตอนเครื่องจะลงวิวสวยมาก แต่ไม่ได้นั่งริมหน้าต่าง เสียใจอ่ะ! ในความรู้สึกเรา ที่นี่เหมือนรวมเอาภาคเหนือกับภาคใต้ของไทยมารวมกัน มีทะเลสวยๆ มีน้ำตก มีภูเขา เรียกได้ว่าคนที่รักธรรมชาติมาเกาะเชจูแล้วต้องหลงรักแน่นอน

 

เนื่องจากที่นี่เป็นเกาะใหญ่สถานที่สวยๆที่น่าไปก็จะอยู่ห่างกันพอสมควร  ดังนั้นเราเลยต้องเช่ารถขับเลือกเป็นรถเก๋งฮุนได ราคาไม่แพงมากจะอยู่ที่ประมาณ 600 บาทต่อวัน ขึ้นอยู่กับขนาดรถและรุ่นด้วย ไปกันสามคน ดาว ตาล และโคล (เพื่อเกาหลี) หารกันก็ตกคนละไม่กี่บาท ขึ้นรถปุ๊ปก็ตื่นเต้นปั๊ป ถึงแม้ว่าตอนนั้นฝนจะตกปรอยๆ แต่ก็พร้อมลุยแล้วววว เกาะเชจูจะเป็นยังไงน๊า  : )

ที่แรกที่หยุดรถอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน Clo โคล เพื่อนเกาหลีที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ออสเตรเลีย อาสาเป็นคนขับให้ นางเป็นคนโก๊ะๆ อารมณ์ดีหัวเราะง่าย เป็นคนสบายๆแล้วก็ชอบท่องเที่ยวเหมือนกัน อยู่กับนางทั้งสบายใจ ทั้งมีความสุข

พอลงจากรถเดินลงไปไม่กี่ก้าวก็เจอทะเล กว้างสุดลูกหูลูกตา ตอนที่อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนมองไปที่ทะเล มันก็สวยดีนะแต่แอบรู้สึกเหงาๆนิดนึง แต่ช่างมันเถอะ เพราะตอนนั้นหิวมาก นอกจากมองทะเลแล้ว ยังเดินมองหาของกินด้วย เดินไปเจอปลาหมึกย่างเกือบจะซื้ออยู่แล้วเชียว เพราะปลาหมึกนี่ของโปรดเลย แต่พอมองพินิจพิจารณาดูอีกที ไม่กินดีกว่า ก็ดูหน้าตามันสิ ไม่น่ากินเลยเนอะ หนวดยุ่งมาก เห็นแล้วนึกถึงคนที่ไม่หวีผม หัวยุ่งๆ (ขอให้ดูรูป) พอเดินใกล้จะถึงรถเจอร้านขายของทอด อึ้มม ค่อยน่ากินหน่อย รอดละ เรากับตาลเลยเลือกมาหนึ่งอย่าง กินรองท้องเฉยๆ เลือกอันที่หน้าตาที่คิดว่าอร่อยชัวร์ ลักษณะเหมือนลูกชิ้นปลาสอดใส้ปูอัด  พอกินเข้าไป…. ยิ้มเลย อร่อยยยยยสุดๆ เสียดายกัดคนละสองคำก็หมดแล้ว ไม่พอยาใส้ที่กำลังหิวๆเลย โคลบอก อะไรจะหิวกันขนาดนี้!! ใจเย็นๆ กำลังขับพาไปหาร้านอร่อยๆทาน ^^

ขับไปไม่นานซัก 10 นาทีก็จอดรถทานข้าว เย๊ๆ ร้านอาหารอยู่ริมถนนที่ติดกับทะเล เราสั่งซุปทะเลไป ตอนยกมานี่อลังการมาก น้ำเดือดปุดๆถ้าดูคลิปเกาหลีจะเห็น หน้าตามันดูเหมือนจะเผ็ดนะแต่จริงๆแล้วไม่เผ็ดเลยสีนั้นคือสีของมันกุ้ง!! ซดน้ำซุปแต่ละคำ รสชาติกลมกล่อมทะเล๊ทะเลเข้าบรรยากาศเกาะเชจูมาก หอยในรูปที่อยู่ในซุปอร่อยดี ไม่รู้ว่าชื่ออะไร ตอนนั้นหิวจัดเลยไม่ได้ถ่ายรูปอาหารคนอื่นเลย 5555 รู้แต่ว่าตาลสั่งโจ๊กอะไรมาไม่รู้ ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ จืดสนิท

หลังจากเติมพลังเบาๆจนมีแรงแล้ว ก็ได้เวลาไปต่อ ขับรถไปชั่วโมงกว่าก็จะไปถึงน้ำตก Jeongbang ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่เดียวในเอเชียที่ไหลลงสู่ทะเลโดยตรง ค่าเข้าคนละ 2000 วอน ประมาณ 60 บาท ที่นี่ไม่ได้มีเฉพาะคนต่างชาติที่มาเที่ยว คนเกาหลีก็เยอะ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนมากจะใส่เสื้อกันฝนแล้วค่อยๆไต่ก้อนหินลงมาเพื่อมาถ่ายรูปใกล้ๆกับน้ำตกนี้ เราไม่ได้เตรียมอะไรมาบังซะด้วย ละอองน้ำตกปลิวเข้าหน้าเข้ากล้องหมดเลย แต่ไม่สน เพราะวิวมันสวยเกินห้ามใจ อีกอย่าง เรามันสายถึก หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว แค่นี้เรื่องเล็ก : ) ยืนดูอยู่พักใหญ่ๆจนอิ่มใจแล้วก็เดินกลับรถ

พอขึ้นรถมาปุ๊ป โคลบ่นหิวอีก ฮ่าๆตลก สงสัยซุปเมื่อเช้ามันย่อยไปหมดแล้วตั้งแต่ปีนหินไปดูน้ำตก โคลโทรหาเพื่อนเกาหลีชื่อสาม ที่บังเอิญอยู่เกาะเชจูพอดี ให้แวะมาทานข้าวกลางวันด้วยกัน สามทำงานเป็น Producerหนัง เป็นผู้ชายเกาหลีที่นิสัยน่ารักมาก มุขเยอะ ยิ้มเก่ง (แอบอยากให้สองคนนี้เป็นแฟนกัน เพราะโสดทั้งคู่ แต่โคลบอกไม่เอาอ่ะ สามหน้าแก่กว่าพ่อฉันอีก 555555 โธ่ สาม!!) อาหารมื้อนี้อร่อย ถูกใจมาก มีปลาคล้ายๆปลาซาบะ มีซุปกระดูกหมูอร่อยสูสีกับซุปทะเลเมื่อเช้าเลย อาการพวกนี้โคลบอกว่าส่วนใหญ่มีแค่ที่เกาะนี้นะ หากินที่ Seoulไม่ได้ หลังจากกินเสร็จ เจ้าของร้านใจดี เอาส้มมาให้กิน มาเกาะนี้ห้ามพลาดกินส้มเด็ดขาด เพราะที่นี่ส้มเค้าขึ้นชื่อ รสชาติเปรี้ยวอมหวานกำลังดี มื้อนี้อิ่มของจริงเพราะกินเยอะมากๆ ราคาหารกันคนละประมาณ 400บาทเอง 

หลังจากอิ่มเปรม เดินออกมานอกร้าน มองไปบนท้องฟ้าเห็นเมฆดำตั้งเค้ามาแต่ไกล รู้เลยว่าวันนี้คงไปไหนไม่ได้แล้วล่ะ พวกเราเลยไปส่งสามให้เจอกับเพื่อนๆที่ Guesthouse สไตล์ธิเบตที่อยู่ไม่ไกล พอไปถึงที่พักของเค้า ตกใจมาก นี่เราอยู่เกาะเชจู หรืออยู่เลห์ลาดักที่อินเดียกันแน่  ที่พักเล็กๆนี้ตกแต่งเหมือนบ้านแถบๆอินเดียตอนเหนือเลย มีธงมนต์แขวนอยู่ด้านหน้า ของประดับต่างๆทำให้หวนคิดถึงตอนไปเที่ยวเลห์ มองเข้าไปในบ้าน เจอเพื่อนๆสามชาวเกาหลีส่งเสียงทักทายอย่างเป็นมิตร เพลงJack Johnsonดังขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับกลิ่นกำยานที่พวกเค้าจุด ทำให้บรรยากาศวันฝนตกวันนี้ชิลมากๆ

พวกเราใช้เวลาช่วงเย็นนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันตามประสาเพื่อนใหม่ การได้นั่งจิบเบียร์เย็นๆพร้อมไก่ทอดกรอบ คลอไปด้วยเสียงสายฝนและเสียงหัวเราะมันทำให้จิตใจเบิกบานโดยไม่รู้ตัว นี่เรากำลังเข้าสู่โหมดชาร์ตพลังแล้วสินะ : )

หลังจากสมควรแก่เวลา เราสามคนก็ต้องขอตัวกลับไปที่พัก โคลเป็นคนจัดการจองที่พักให้ตั้งแต่แรก พอไปถึงท้องฟ้ามืดสนิทมองไม่เห็นวิวด้านนอกเลย แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ เพราะเริ่มง่วง ในห้องที่เราพักเล็กกะทัดรัดเป็นห้องสองชั้น เรากับตาลนอนข้างบน ส่วนโคลนอนข้างล่าง หลังจากอาบน้ำแปรงฟันแล้ว แอบออกไปถ่ายรูปข้างนอกบ้านมาหนึ่งรูป หวังว่าจะเจอดาวซักหน่อย แล้วก็ตามคาด ไม่เจอซักดวงท้องฟ้ามีแต่ก้อนเมฆ ไม่เป็นไร รีบนอนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาแต่เช้าด้วยความรู้สึกสดชื่น พอหัวถึงหมอนก็หลับสนิทด้วยความเหน็ดเหนื่อย

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่เกาะนี้ ฮือออ ทำไมเวลามันถึงได้สั้นขนาดนี้นะ ตื่นมาตั้งแต่หกโมงเช้า อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ใกล้ๆเจ็ดโมงละ โคลบอกออกไปเดินเล่น สำรวจแถวนี้ตามสบายเลยนะ ขอนอนต่ออีกแป๊ปนึง เราสองคนชอบตื่นเช้าอยู่แล้วเวลาไปเที่ยว ตื่นเต้นที่จะได้เห็นว่าบรรยากาศมันเป็นยังไงมั่ง พอเปิดประตูห้องออกไปเท่านั้นแหละ..... ยิ้มและกระโดดไปพร้อมๆกัน (อยากจะกรี๊ดแต่ปิดปากไว้ กลัวโคลตกใจตื่น) ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นทุ่งผักสีเขียว มีภูเขาหน้าตาประหลาดลูกนึง บ้านพักถูกสร้างขึ้นมาง่ายๆ ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีดอกไม้หน้าตาแปลกๆเต็มไปหมด เข้าใจแล้วทำไมแม้แต่คนเกาหลีเองถึงชอบเกาะเชจู ก็เพราะมันสงบ น่าอยู่แบบนี้นี่เอง

ออกจากที่พักเดินตามถนนไปเรื่อยๆ เจอแปลงผัก เจอเด็กขี่จักรยานสวนทางมา เกาะนี้ช่างเงียบสงบจริงๆ มีแต่เสียงนก แทบไม่เห็นผู้คนเลย สงสัยคนอื่นเค้ายังหลับกันอยู่ พอเดินไปถึงถนนใหญ่ ภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ความดีใจพุ่งปรี๊ดดอีกรอบ "ประภาคารสีแดงและทะล!!" สวยยยย เหมือนเคยที่เห็นในรูปเลย ไม่คิดว่าทะเลจะอยู่ใกล้กับที่พักขนาดนี้ ดีใจๆๆ วิ่งไปถ่ายรูป กระโดดโลดเต้นแถวนั้นกันอยู่สองคน เห็นอย่างงี้กว่าจะเดินไปถึงประภาคาร นานเหมือนกันนะประมาณ 15 นาทีได้ ไปถึงเจอคุณลุงกำลังตั้งใจตกปลาอยู่ ชีวิตบนเกาะมันช่าง slow life ดีจริงๆเลย

หลังจากเดินเล่นจนเหนื่อยแล้ว ก็หิวตามระเบียบ พอเดินกลับไปถึงที่พัก เจอโคลรออยู่ในห้องรับแขกแล้ว เจ้าของทำอาหารเช้าง่ายๆให้ทาน เป็นสลัดกับไส้กรอกแล้วก็มีโยเกิร์ตกับผลไม้ ปิดท้ายด้วยชาสมุนไพรร้อนๆ yummyy! เจ้าของที่นี่น่ารัก เป็นคนใจดี ดูรักสัตว์ด้วยอ่ะ เค้าเลี้ยงหมาไว้ตั้งหลายตัวชื่อคุมิแล้วก็อะไรอีกก็ไม่รู้ มันหน้าดุแต่ใจดีนะ ค่าห้องคืนละ 80000 วอน ตกเป็นเงินไทยก็ประมาณ 2,400 บาท หารกันเหลือคนละ 800 ก็โอเคนะ ที่พักชื่อ Pazziya http://pazziya.fortour.kr/

และแล้วก็ถึงเวลาเดินทางต่อ สถานที่ที่จะไปต่อจากนี้ พูดเลยว่าเป็นที่ที่ชื่นชอบสุด เลิฟที่สุดในเกาะเชจู นั่นก็คือ Camilia Hill นั่นเอง ที่นี่คือสวนดอกไม้ที่สวยและผ่อนคลายมากๆ ในนี้เก๋ตรงที่ว่า เค้ามีมุมให้ถ่ายรูปตลอดทาง มีป้าย i love you / marry me และอื่นๆอีกมากมาย คนชอบถ่ายรูปไม่ควรพลาดอย่างแรง เจอป้ายแรกด้านหน้าทางเข้าก็ฟินละ "SLOW DOWN ENTERING STRESS-FREE ZONE" ค่าเข้าคนละ 5000 วอน ประมาณ 150 บาท  Recommended!! มันเลอค่ามากจริงๆ

เราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานพอสมควรเพราะพื้นที่กว้างมาก เดินเสร็จก็หิวอีกแล้วจ้า 5555 ผลัดกันหิวทั้งวัน โคลบอกว่าเดี๋ยวพาไปกินที่นึง มีร้านกาแฟใกล้กัน ทานข้าวเสร็จจะได้ทานของหวานต่อเลย เย๊ๆ อาหารที่สั่งมามื้อนี้เป็นเหมือนข้าวต้มไก่ดำตุ๋น ซุปกิมจิ ก่อนที่อาหารจะมานี้มีไข่ต้มจิ้มเกลือให้มารองท้องก่อนด้วย อร่อยดี แต่แอบคิดถึงพริกน้ำปลา อีกอย่างที่น่ารักคือที่รองช้อน ดูสิ มีรูปประกอบด้วยว่าให้วางยังไง : )

หลังจากทานเสร็จเรียบร้อย ต่อของหวานทันที เพราะร้านเชื่อมกัน ร้านนี้ตกแต่งเก๋ วิวสวย อารมณ์เหมือนอยู่คาเฟ่ที่เชียงใหม่ ถ้านั่งที่ระเบียงจะมองไปเห็นวิวภูเขา ต้นไม้ ร่มรื่น ที่สำคัญพอเจ้าของร้านรู้ว่าเราเป็นคนไทย ลดราคาให้เฉยเลย โคลบอกว่าเป็นเพราะน้องชายเค้าและครอบครัวทำงานที่ไทย อยู่ภาคใต้ ตัวเค้าเองก็ไปเที่ยวไทยหลายครั้งแล้ว คนไทยมีน้ำใจ เค้ารักคนไทย ฟังแล้วซึ้งสุดๆ เห็นมั๊ยคะว่าการที่เรามีน้ำใจ ยิ้มแย้มกับนักท่องเที่ยว มีผลดีกับเพื่อร่วมเชื้อชาติด้วยนะ 555 ไหนๆเจ้าของร้านน่ารักขนาดนี้ ขอโฆษณาร้านให้ซักหน่อย ร้านชื่อ SUMBINARI ทางเข้าอยู่ตรงข้ามเยื้องๆกับพิพิธภัณฑ์รถ ลองหาใน GPS ดูนะคะ

ตอนนี้เป็นอีกช่วงเวลานึงที่มีความสุข นั่งจิบโกโก้ร้อน กินขนม คุยเล่นกับเพื่อน ทั้งสามและโคลเคยไปเที่ยวไทยหลายที และพวกเค้าก็ชอบเมืองไทยมาก พูดภาษาไทยได้นิดๆ สามเล่าว่าไปไทยครั้งนึงพักอยู่แถวถนนข้าวสาร ห้องพักถูกมากเลย 70 บาทต่อคืน ห๊ะ!!เราคนไทยแท้ๆยังไม่รู้เลยว่ามีห้องที่ถูกขนาดนี้ สามหัวเราะร่วนพอเห็นเราทำหน้าเหวอ พร้อมทั้งอธิบายว่า ฟังไม่ผิดหรอกกก 70 บาทจริงๆ แต่ห้องเล็กเท่ารูหนู มีแต่กำแพง ไม่มีหน้าต่าง - -" สามเอ๊ย แล้วหายใจออกหรอ อันนี้คิดในใจไม่ได้ถาม แต่สามบอกนี่แหละที่ๆเค้าใฝ่ฝัน มันดีมาก เค้าอยากลองมาอยู่แบบนี้ บางทีศิลปินก็เข้าใจยากเนอะ 5555 หลังจากนั้นก็ผลัดกันเล่าเรื่องชีวิตของแต่ละคน ไปเที่ยวไหนมา ประทับใจที่ไหน คุยกันไปเรื่อยๆจนได้เวลาที่ต้องออกจากที่นี่ละ จุดมุ่งหมายต่อไปก็คือสนามบิน T T แต่ก่อนไปเราจะผ่านทะเลสวยๆอีก ก็เลยได้แวะไปดูวิว เดินเล่นบนทราย สูดลมทะเลเข้าปอดก่อนจะกลับ Seoul

บางทีก็ข้องใจกับท้องฟ้านะ ทีวันกลับล่ะสวยเชียว แต่ก็นะ เป็นการลาจากที่อาลัยอาวรณ์พอสมควร เหมือนมันยังไม่เต็มอิ่มเลย สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่ามาคราวหน้าจะอยู่ให้นานกว่านี้ เกาะเชจูยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างให้น่าค้นหา สำหรับการมาหนึ่งคืนสองวัน ได้แค่นี้ก็ประทับใจมากแล้ว : ) ก่อนถึงสนามบินจะเป็นอะไรไปมิได้นอกจากการกิน ฮ่าๆๆ โคลบอก "แวะกินก๋วยเตี๋ยวเกาหลีกัน" เวลาเฉียดฉิวมาก อีกหนึ่งชั่วโมงเครื่องออก แต่ทุกคนพยักหน้าพร้อมกันพร้อมทั้งพูดว่า กินๆ 

อย่างนึงที่ชอบและรู้สึกว่ามันเพลินมากเวลาอยู่ในร้านอาหาร ก็คือการลุ้นเครื่องเคียงว่าจะมีอะไรบ้าง จะมีแบบที่เรายังไม่เคยกินมั๊ยน๊า จะเจอของอร่อยมั๊ย และร้านสุดท้ายก็เจอแจ๊คพอต ร้านนี้เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านๆ ถ้าไม่ใช่คนท้องถิ่นก็คงไม่รู้จัก เพราะร้านแอบอยู่ตรงมุมถนน ก่อนถึงสนามบินประมาณ 5 นาที เข้าไปในร้านบรรยากาศเหมือนมากินข้าวบ้านเพื่อน อาจุมม่าเป็นคนรับออเดอร์ มีทีวีเครื่องนึงตั้งอยู่ เปิดละครดราม่าเกาหลี บรรยากาศมันให้มากๆเลย ทีเด็ดของร้านนี้คือ เครื่องเขียงอย่างนึง อร่อยเว่อเลย มันเป็นปูจิ๋ว ตอนแรกก็แอบไม่กล้ากิน เพราะดูแล้วแบบว่า ขาเป็นขา แหลมเชียะ กลัวทิ่มคอ แต่พอกินเท่านั้นแหละตาโตด้วยความตะกละ รสชาติมันหวานๆ เค็มๆ กรอบๆ คือครบรส อร่อยจิงๆ ชอบบบบบ ตั้งแต่มาเชจูเครื่องเคียงแต่ละร้านแทบไม่ซ้ำกันเลย สนุกตรงนี้ ก๋วยเตี๋ยวที่สั่งก็คือก๋วยเตี๋ยวหมู ถ้ารู้ว่าจะมาชามใหญ่เท่าหม้อหุงข้าวขนาดนี้จะสั่งชามเดียวแบ่งกับตาล แต่ไม่ทันละเลยกินเท่าที่ไหว แต่อร่อยดีนะ ถือว่าเป็นการจากลาเกาะเชจูที่ประทับใจเลยทีเดียว  " เชจู เราจะต้องได้เจอกันอีกแน่ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม : ) "

bottom of page