top of page

ก่อนจะรีวิวขอเล่าถึงที่มาที่ไปก่อนนะคะว่าทริปนี้เกิดขึ้นได้ยังไง  ปกติเวลาไปเที่ยว whenwewander ก็จะมีแค่ดาวกับตาล แต่ทริปนี้พิเศษนิดนึงตรงที่ว่ามีพี่โจ @joez19 ไปด้วย ตอนแรกคิดกันอยู่นานมากเพราะว่ามีเวลาแค่ 6 วันเอง เราจะไปไหนกันดีน๊า ที่ที่อยากไปในลิสต์ก็มีเยอะมาก แต่ตอนนั้น 90% สรุปกันว่าจะไปตุรกี หลังจากจองตั๋วเสร็จ ประมาณสามวันก็มีข่าวระเบิดที่นั่น - -" คราวนี้ใจเริ่มหวั่นๆ กลัวไปเที่ยวไม่สนุก ที่บ้านก็อยากให้เปลี่ยนที่เที่ยวเพื่อความสบายใจ ทริปตุรกีเลยล้มไป ดีนะที่จองตั๋วกับ Agent และยังไม่ได้จ่ายเงิน หลังจากนั้นก็ถึงช่วงเวลาค้นหาต่อไปว่าจะลงเอยที่ไหนดี หาไปหามาคิดว่า เราควรเลือกประเทศที่ไม่ไกลมาก เพราะจะได้ไม่เสียเวลาบนเครื่องบินเยอะ สุดท้ายก็มาลงเอยที่เวียดนาม พี่โจบอกว่าเคยไปโฮจิมินท์แล้วก็รู้สึกเฉยๆนะ เวียดนามก็คงไม่ค่อยต่างกับชานเมืองของบ้านเราซักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ซีเรียสไปไหนก็ได้นอกประเทศ ถือว่าไปพักชิวๆหลบร้อนช่วงสงกรานต์

หลังจากมั่นใจแน่นอนแล้วว่าจะไปที่นี่ เราก็เริ่มต้นจากหาข้อมูลเกี่ยวกับเวียดนามจริงจัง ยิ่งหาข้อมูลยิ่งเครียดหนัก เพราะทั้ง google และ pantip เจอแต่ข้อมูลประมาณว่า เวียดนามเพื่อนบ้านตัวร้าย / ระวังโดนโกง / รู้เท่าทันก่อนไปเวียดนาม / เวียดนามกินเนื้อหมา ประสบการณ์เลวร้ายต่างๆมาเต็ม อ่านแล้วใจเต้นตึกๆ เครียดหนักว่าระเบิดที่ตุรกีอีก 55 ก็เลยโทรไปเล่าให้พี่โจฟังว่าที่หาข้อมูลมาเป็นแบบนี้นะ พร้อมจะลุยด้วยกันมั๊ย พี่โจบอกลุย ไปไหนไปกัน โดนโกงก็โกง ประสบการณ์ชีวิต : )

คิดแบบนี้ค่อยสบายใจหน่อย คราวนี้ก็เริ่มหาข้อมูลต่อไป เราไปเจอรูปภาพของฝรั่งคนนึงพูดถึง Hagiang (ฮาซาง) ไว้ได้น่าสนใจมาก เค้าบอกที่นี่อยู่ตอนเหนือสุดๆเลย เหนือกว่าซาปาอีก ทางไปลำบากพอสมควร ทำให้คนยังเข้าไปไม่ค่อยถึง แม้กระทั่งคนเวียดนามเองก็ยังไม่ค่อยจะไปเลย แต่มีความเป็นธรรมชาติอยู่ 100%  อ่านถึงตรงนี้ก็รู้แล้วล่ะว่า ที่นี่แหละ ที่เราจะไปกัน : )

ฮาซางอยู่ห่างจากฮานอยประมาณ 7 ชม. ทางไปต้องผ่านภูเขาสูงที่โค้งไปโค้งมาและอันตรายมากบางช่วงด้วย จากตอนแรกที่คิดว่าจะไปลุยและขึ้นรถบัสอะไรกันเองก็คงต้องคิดใหม่ เวลาวางแผนการท่องเที่ยว เราจะดูความเหมาะสมเป็นหลัก ไม่ได้จะต้องจำกัดงบให้ถูกที่สุด แพงบ้างถูกบ้างตามสถานการณ์ เอาที่สบายใจดีกว่า  ทริปนี้มีเวลาน้อย ใช้เวลาบนรถเยอะ ถ้าจะต้องหลงทางหรือเจอปัญหาอะไรกลางคันก็คงไม่สนุกแน่ เลยตัดสินใจติดต่อบริษัททัวร์ หาไปหามาเจอที่นึงชื่อ Vietsea Tourist เห็นคนไทยใช้บริการกันเยอะและดูท่าทางน่าจะไว้ใจได้ ก็เลยส่งเมลไปบอกเค้าว่าเราอยากไปที่ไหนบ้างให้เค้าลองคำนวนค่าใช้จ่ายมาสำหรับ 3 คน

ทางโน้นเค้าแนะนำว่าเราควรมีไกด์ไปด้วย เพราะคนขับเองก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ จะสื่อสารกันลำบาก ตอนนั้นคิดว่าก็ดีเหมือนกันนะ เช่ารถพร้อมคนขับ มีไกด์ไปด้วย ก็คงหมดห่วงไปได้อีกหน่อย ราคาที่ได้มาสำหรับ 3 คน คือ 460$ ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณคนละ 16,000 บาท ราคานี้ รวมค่าที่พัก ค่าตั๋วเข้าชมสถานที่ต่างๆ ค่าเช่ารถ พร้อมคนขับ + ไกด์ + ค่าน้ำมัน และค่าอาหาร ถ้าแลกกับความสบายใจก็ถือว่าโอเคเลย

หลังจากที่ตกลงว่าจะให้ Vietsea ดูแลการเดินทางครั้งนี้ เค้าก็แจ้งว่าตามกฏเราต้องมัดจำก่อน 100 USD ผ่านทาง แบงค์Western Union แล้วค่าธรรมเนียมโอนเงินต่างประเทศเค้าจะจ่ายคืนให้เองโดยหักจากยอดที่เหลือ

ก่อนจะโอนก็ลุ้นนะว่า เราจะโดนโกงตั้งแต่ยังไม่เริ่มทริปเลยมั๊ยเนี่ย ถ้าโอนไปแล้วเค้าหายไปเลยจะทำไง แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องลองเสี่ยงดู ปรากฏว่าเค้าก็คอนเฟิร์มมกลับมา ทุกอย่างโอเคตามแผนการที่วางไว้ เย๊!!

การผจญภัยของเรากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

 

DAY1   AIRPORT- NINHBINH - TAMCOC - HANOI

 

พวกเราบินสายการบินนกแอร์ลงฮานอย 8โมงครึ่งตอนเช้า ออกประตูมาอย่างแรกคือมองหาคนถือป้ายชื่อ ลุ้นมาก มีคนยืนชูป้ายตั้งหลายคน แต่ไม่มีชื่อเราเลย เหอะๆ "พี่โจ สมมุตินะ ถ้าเค้าไม่มารับเราจะทำไงอ่ะ" พี่โจทำหน้าอึ้งไปแป๊ปนึง  แล้วก็รีบเดินไปทางโน้นทีทางนี้ที เพื่อมองหาคนที่ถือชื่อเราใหญ่เลย 5555

จริงๆตอนนั้นก็ยังไม่ใจเสียเท่าไหร่ เพราะเครื่องถึงเร็วกว่ากำหนดนิดนึงด้วย คิดแง่ดีไว้ก่อน เค้าคงกำลังเดินทางมารับแหละ ไปซื้อซิมฆ่าเวลาก่อนดีกว่า ออกจากประตู หันหน้ากลับเข้าไปจะเจอร้านอยู่ซ้ายมือแบบในรูปเลยนะคะ ให้ซื้อซิม Mobi Phone แบบใช้อินเตอเนทไม่จำกัด ราคาประมาณ 300 กว่าบาทไทย คุ้มมาก ​ซื้อซิมเดียวแชร์ Mobile Hotspot กันได้หมดตลอดการเดินทางเลย หลังจากเปลี่ยนเมมอะไรเสร็จเรียบร้อยก็เจอไกด์ถือป้ายชื่อเราเดินมาพอดี รอดแล้วววว พวกเรายิ้มดีใจกันใหญ่ที่ไม่ถูกลอยแพ 

รถที่มารับเป็นรถ Ford Everest คนขับและไกด์ช่วยขนของขึ้นรถและยิ้มแย้มเป็นกันเอง ตอนที่รถเคลื่อนตัวจากสนามบิน พี่โจหันมาหัวเราะพร้อมทั้งบอกว่า เอ๊า ดีดนิ้วพร้อมกันหน่อยยย!! บรรยากาศตอนนั้นผ่อนคลาย รู้สึกดีตั้งแต่ยังไม่เริ่มทริิป : )

พวกเราตื่นตาตื่นใจกับตึกหน้าตาแปลกๆแต่ดูมีเสน่ห์ บรรยากาศทุ่งหญ้าสีเขียว และภูเขารูปทรงไม่คุ้นตาเรียงรายอยู่สองข้างทาง มองออกไปเห็นชาวบ้านปลูกผักสวนครัว ใส่หมวกสไตล์เวียดนามด้วย วิถีชีวิตของพวกเค้ายังคงใกล้ชิดกับธรรมชาติมากพอสมควร ความรู้สึกนี้แหละที่เราชอบที่สุด ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้สัมผัสในสิ่งที่ไม่เคยเจอ ถึงแม้มันจะเป็นแค่วิวธรรมดาๆแต่มันมีคุณค่าทางจิตใจ

จุดมุ่งหมายแรกที่เราจะไปวันนี้คือที่ Ninh binh ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่งจาก Hanoi ที่นี่เราจะเห็นวิวสวยๆมุมสูงของแม่น้ำ Tamcoc แต่เราต้องเดินขึ้นบันได 500 ขั้น เพื่อให้ขึ้นไปถึงจุดที่สูงที่สุด - -"

ก่อนจะถึงทางเข้าคนขับรถจอดรถและชี้ให้ดูอะไรที่หนองน้ำไกลๆ มองออกไปก็เห็นควายตัวอ้วนๆสามสี่ตัวกำลังเล่นน้ำกันอยู่ เราไม่รีรอรีบเปิดประตูลงจากรถ วิ่งลงไปดูใกล้ๆ พี่โจรีบตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง เฮ้ย!! อย่าไปใกล้มาก ระวังมันขวิดเอานะ ไกด์ที่มาด้วยก็หัวเราะ บอกว่าควายพวกนี้มันคุ้นกับคน ไม่ดุหรอก เราก็เลยได้ถ่ายรูปมันในระยะใกล้ชิด จะว่าไปตั้งแต่เกิดมานี่ก็เป็นครั้งแรกนะที่ได้มีโอกาสเห็นควายเล่นน้ำใกล้ขนาดนี้ ตาลบอกว่าถ้าโดนขวิดก็คงตายอ่ะ 5555 

หลังจากถ่ายรูปควายเสร็จแล้ว นั่งรถต่อไปอีกหน่อยก็ถึงจุดชมวิว ไกด์บอกว่าเค้าเดินขึ้นไปแป๊ปเดียว 5 นาทีก็ถึงแล้ว ทำไมพวกเราเดินไปซัก 20 ขั้นก็หอบแฮ่กๆ อะไรกันเนี่ย ทำไมรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้ สงสัยเป็นเพราะหิวข้าวด้วยมั้ง ในรถก็กินแค่ข้าวเหนียวหมูทอดที่เตรียมมาจากไทยไปคนละนิดเอง

ระหว่างทางที่ก้าวขึ้นบันได สายตาก็มองเห็นเส้นอะไรแดงๆเล็กๆขยับไปมาบนพื้น เฮ้ย! ตาล นี่มันลูกตะขาบนิ เต็มเลย 555 ต้องเดินระวังไม่ให้ไปเหยียบโดนมันด้วย ทั้งเหนื่อยทั้งลุ้น

 

ถึงแม้ว่าตอนนั้นอากาศจะไม่ร้อนมากแต่ต้องเดินขึ้นบันไดสูงและชันในเวลาใกล้เที่ยงแบบนี้ ก็โหดเอาการอยู่เหมือนกัน มารู้ตัวอีกทีเหงื่อก็ชุ่มตัวไปหมดแล้ว แต่ที่ขายังเดินต่อไม่หยุดก็คงเป็นเพราะวิวที่สวยขึ้นเรื่อยๆ  ในที่สุดก็ถึงจนได้.... เรายืนมองไปด้านหน้า ภาพที่เห็นคือวิวแม่น้ำ Tamcoc รายล้อมไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่ เป็นความสมบูรณ์แบบที่ลงตัว เรายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นหลายนาที ไม่รู้เพราะตะลึงกับความสวยหรือเพราะเหนื่อยกันแน่ 

ในขณะที่กำลังเหม่อมองวิว ก็นึกถึงเพลงท่อนนึง “หากไม่รู้จักเจ็บปวดก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ” มันจริงนะ ถ้าไม่ยอมเหนี่อยไต่ขึ้นมาสูงขนาดนี้ก็คงไม่เห็นวิวนี้แน่ๆ อยากหยุดเวลาตอนนี้ไว้จริงๆ 

หลังจากที่อยู่ตรงนั้นซักพัก ถ่ายรูปเล่นกันจนพอใจ ก็ได้เวลากลับแล้วล่ะ เริ่มหิวข้าวกันแล้วด้วย นั่งรถออกไปได้ซักพัก มองหน้าต่างขวามือ ก็ต้องร้องออกมาดังๆว่า ”เฮ้ย เป็ด!!!” เป็ดสีขาวฝูงใหญ่มากว่ายน้ำเล่นอยู่ริมคลองเล็กๆ มองจากสายตาคร่าวๆน่าจะมีมากกว่าร้อยตัว ปากไวเท่าความคิด “ Could you stop the car please!!” give us 5 mins to play with the ducks ไกด์ก็รีบบอกคนขับหยุดรถให้เราออกไปเล่นกับเป็ดแป๊ปนึง นี่คือข้อดีการการมีรถส่วนตัวไปนะ สมมุติถ้าเรานั่งรถBus มากับคนเยอะๆ คงอดลงมาสัมผัสกับอะไรแบบนี้  ฝูงเป็ดนับร้อยตัวลอยอยู่ในน้ำร้องก๊าบๆ เราเพลินกับภาพตรงหน้ามาก เจ้าของเป็ดเห็นพวกเราดูสนใจก็เลยหยิบถุงอาหารมาโปรยเพื่อล่อบรรดาเป็ดให้เข้ามาใกล้ๆ

ตอนนี้รอบตัวเราก็เลยมีแต่เป็ดเต็มไปหมดเลย อยากให้นึกภาพว่าเป็ดนับร้อยตัวร้องก๊าบๆๆอยู่ตรงหน้า ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ตลกก็ตลก ถ่ายรูปไปด้วยกรี๊ดไปด้วย ตูดเป็ดก็ปัดไปปัดมาตรงมือเรานี่แหละ ฮ่าๆๆ สนุกตรงนี้

 

และแล้วเราก็มาถึงร้านข้าว เป็นมื้อแรกที่เราได้กินข้าวที่นี่ มีไกด์มาด้วยคือดีมาก ทุกอย่างง่ายเพราะมีคนช่วยแปลและช่วยสื่อสาร คิดภาพไม่ออกจริงๆว่าถ้ามากันเองจะเป็นยังไง เพราะคนเวียดนามเค้าก็ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษกันทุกคน แล้วยิ่งมาในพื้นที่ต่างจังหวะแบบนี้ด้วยอะไรๆก็คงยากกว่านี้เยอะ 

เราบอกไกด์แล้วว่า We don’t want to eat anything weird! ของแปลกๆ เนื้อหมา กบย่าง หนู งูอะไรเราไม่กินนะ ขอเป็นแบบปกติ 5555 เรากับตาลเลยสั่งข้าวผัดไข่ ของพี่โจเป็นก๋วยเตี๋ยวหมู ข้าวผัดที่เรากินรสชาติดีเลยนะ ส่วนก๋วยเตี๋ยวพี่โจบอกก็อร่อยใช้ได้ เหมือนแกงจืดบ้านเราแล้วใส่เส้น น้ำแตงโมที่สั่งก็สดดี แต่คนที่นี่เค้าไม่ค่อยกินน้ำแข็งกัน 

หลังจากกินอิ่มก็ได้เวลานั่งเรือเล่นชิวๆแล้ว แม่น้ำด้านหน้าก็คือแม่น้ำเดียวกันกับที่เห็นมุมสูงเมื่อกี้ ที่นี่เรือไม้จอดเรียงรายเต็มไปหมด คนชอบถ่ายรูปอย่างเราก็เพลินเลย วิ่งไปถ่ายมุมโน้นทีมุมนี้ที ตื่นเต้นกับทุกสิ่งที่ได้เจอ

ป้าคนพายเรือยิ้มแย้มต้อนรับให้พวกเราลงเรือ ไกด์ก็ดูแลอย่างดีรีบยื่นขวดน้ำดื่มให้พวกเราพกไว้เผื่อหิวน้ำ เพราะจะต้องใช้เวลาอยู่บนเรือประมาณสองชั่วโมง เวลาตอนนี้อากาศเย็นสบายผิดกับที่กรุงเทพเลย อากาศมีผลต่อจิตใจมากนะ อากาศดีอารมณ์ก็ดีตามไปด้วย ตอนแรกป้าคนพายเรือใช้มือพายอยู่ดีๆ กลายมาเป็นใช้เท้าพายซะงั้น เจ๋งดี คล้ายๆกับที่พม่า

 

ในระหว่างที่เรือล่องอยู่ในแม่น้ำ พวกเราก็เพลินกับการมองดูวิถีชีวิตของคนที่อยู่สองฝั่งคลอง ตอนนั้นมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก มันดี มันสงบ มันผ่อนคลาย ใจมันยิ้มๆ เบาๆ เคยเป็นมั๊ย? : )

 

เสียงพายกระทบน้ำ ลมเย็นพัดมา วิวภูเขาด้านหน้ากับทุ่งนาด้านข้างสีเขียวๆ ก็คือคำตอบในใจว่าคิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกมาที่นี่ การเที่ยวแบบไม่คาดหวังมันก็ดีนะ จริงๆก็คงไม่ใช่แค่เรื่องเที่ยวหรอก มันน่าจะใช้ได้กับทุกเรื่อง การไม่คาดหวังทำให้เราไม่ผิดหวัง แต่ถ้ามันมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น ก็ถือซะว่านี่คือกำไรชีวิต 

หลังจากเต็มอิ่มกับวันนี้เราก็นั่งรถกลับไปนอนที่ฮานอยคืนนึง พักที่โรงแรม Rising Dragon Grand Hotel โรงแรมไม่ได้สวยมากแต่ทำเลดี ห้องนอนสะอาด ห้องน้ำสะอาดเป็นว่าใช้ได้ หลังจากเก็บของในห้องเรียบร้อยก็ได้เวลาข้าวเย็น พวกเราออกไปเดินสำรวจฮานอยยามค่ำคืน ตอนนี้เวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง ออกไปกันเองไม่มีไกด์ ข้อมูลใน Pantip และคำเตือนของแฟนเพจก็ลอยเข้ามาในหัว ระวังมือถือ ระวังโดนปล้น เราก็เลยเดินแบบมีสติระวังในทุกๆก้าว  

ไม่ไกลจากโรงแรมมีร้านอาหารร้านนึงดูท่าทางโอเคคนนั่งเยอะ ลองเสี่ยงดูละกัน เราเลือกที่นั่งริมถนนจะได้ดูบรรยากาศผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วย เบียร์เวียดนามเย็นๆทำให้หายเหนื่อยไปได้เยอะ อาหารที่สั่งมี 3 อย่างเอามาแบ่งกัน มีปีกไก่ทอด ข้าวไก่กรอบ และก็ป่อเปี๊ยะสดใส้กุ้ง เหลือเชื่อว่าสั่ง 3 จาน อร่อยทั้ง 3 จานเลยนะ คงไม่ใช่เพราะหิวหรอก อร่อยจิงๆ โดยเฉพาะไก่กรอบนี้พูดเลยว่าเด็ดมาก เดี๋ยวต้องมานอนฮานอยคืนสุดท้ายก่อนกลับตั้งใจว่าคราวนี้แหละ จะสั่งคนละจานเลย ก็ยังงงๆว่าคนที่มาเวียดนามแล้วอาหารกินไม่ได้เลยมันอยู่ตรงไหนหว่า น่าจะคนละโซนกันมั้ง เพราะทั้งวันอาหารที่เจอก็โอเคหมดนะ ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดี จริงๆแค่วันแรกก็ถือว่าดีมากๆแล้ว มีแต่เรื่องสนุกๆ มีความสุขทั้งวัน กลับถึงห้องก็รีบอาบน้ำนอนเพื่อที่จะเตรียมตัวเดินทางไกลพรุ่งนี้เช้า

Day2  Hanoi – Hagiang

 

วันนี้ตื่นตั้งแต่ 7 โมงเช้า อาหารเช้าที่โรงแรมก็มีให้เลือกง่ายๆว่าจะเอา French toast / Pancake หรือไข่ดาว รสชาติเฉยๆไม่ค่อยอร่อย แล้วยังไม่ค่อยหิวด้วยก็เลยกินไปสองคำพอ วันนี้ทำใจว่าเราต้องนั่งในรถยาว 7 ชั่วโมง เพื่อไปฮาซาง แต่ไกด์บอกว่าระหว่างทางถ้าเจอตรงไหนสวยๆ เค้าจะจอดรถให้ยืดเส้นยืดสายและออกไปถ่ายรูปกัน 

โรงแรมนี้อยู่ริมถนน ตอนที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถก็ได้เห็นบรรยากาศตอนเช้าของฮานอย คึกคักไม่แพ้กรุงเทพเลย ที่นี่มอเตอร์ไซค์เยอะมาก เสียงแตรดังตลอดเวลา ปี๊นๆๆ แม้กระทั่งตอนนั่งอยู่บนรถ คนขับเราก็บีบแตรบ่อย แทบจะตลอดเวลา ฟังจนชินเลยอ่ะ เสียงแตรไม่เหมือนบ้านเราด้วยนะ มันเป็นแบบ มีจังหวะเหมือนเป็น Echoไล่เสียงหนักเบาด้วย ถามคนขับเค้าอธิบายว่า การบีบแตรยาวๆแบบมีEcho คือการเตือน ประมาณว่าชั้นมาแล้วนะ ส่วนใหญ่ใช้นอกเมือง ส่วนการบีบสั้นๆ ปิ๊น! ส่วนใหญ่จะใช้ในเมือง ลืมถามว่าไอที่มีสองเสียงเนี่ย กดปุ่มเดียวกันรึเปล่า คราวหน้าถ้าได้ไปอีกจะไม่ลืมถาม 555

ขับไปได้ซักชั่วโมงกว่าเราก็เจอเรื่องน่าตื่นเต้นบนถนน เห็นตำรวจโบกไม้โบกมืออยู่ข้างหน้า คิดว่าต้องเกิดเรื่องอะไรแน่ๆ พอรถค่อยๆเคลื่อนไป สายตาก็เหลือบไปเห็นศพอยู่บนถนนมีเสื่อคลุมอยู่ และมีธุปจุดอยู่ด้วยกำนึง ตอนนั้นตกใจมากเลย ไม่คิดว่าจะเห็นอะไรแบบนี้ที่ต่างแดน คนขับรถจอดข้างทาง ไกด์วิ่งลงไปคุยกับตำรวจซักพักก็วิ่งกลับขึ้นรถ เราถามเค้าว่าเกิดอะไรขึ้น เค้าก็บอกว่าเกิดอุบัติเหตุ มีรถชนคนตาย เมื่อกี้ที่วิ่งลงไปก็เพราะเอาเงินไปทำบุญ พวกเค้ามีความเชื่อกันว่าถ้าเจอศพระหว่างทาง เค้าจะร่วมใจกันบริจาคเงินเล็กๆน้อยๆ เพื่อให้คนตายได้นำเงินเหล่านั้นพกไปบนสวรรค์ด้วย เราว่านี่ก็เป็นเรื่องราวที่น่ารักอีกมุมนึงของคนเวียดนามที่น่าประทับใจ... รถเคลื่อนไปต่ออีกไม่นานเราก็ผ่านเรือนจำ เห็นนักโทษกำลังเดินอยู่ กล้องอยู่ในมืือเลยรีบกดถ่ายจากในรถ ได้มารูปนึง อยากให้ดูชุดยูนิฟอร์มนักโทษของเค้า สวยดีเนอะ คลีนๆ เหมือนชุดนอนที่ไทยเลย

นั่งอยู่บนรถไปได้พักใหญ่ๆ ไกด์บอกแถวนี้มีมุมสวยจะจอดให้แวะลงไปถ่ายรูป เย๊! พวกเราดีใจกันใหญ่ได้ลงจากรถซักที นั่งนานจนเริ่มเมื่อยละ ทางที่เค้าพาเดินไปมันเป็นทางแคบเล็กๆ ขึ้นไปแถวบ้านของชาวบ้าน ระหว่างทางก็เห็นควายกำลังเล็มหญ้ากันอย่างเอร็ดอร่อย ควายที่นี่ตัวอ้วนพี อุมสมบูรณ์มาก ฝูงเป็ดหน้าตาน่ารักเดินเรียงกันมาเป็นขบวน รู้สึกดีมากที่ได้มาเห็นธรรมชาติของจริงแบบนี้ ไม่มีการ set up ไม่มีการปรุงแต่ง ถึงกับถ่ายรูปไปยิ้มไปเลยทีเดียว

พวกเราเดินมาหยุดอยู่ที่เนินเล็กๆ วิวข้างหน้าเป็นนาขั้นบันได คิดในใจว่าถ้าเรามาช่วงเดือนมิถุนาแถวนี้คงจะเขียวขจี สวยกว่านี้แน่ๆ แต่สำหรับเรา ณ.ตอนนี้ เวลานี้ กับวิวตรงหน้าก็เป็นอะไรที่ดีมากๆแล้ว พวกเราวิ่งเล่น ถ่ายรูปเล่นกันจนเหนื่อย สนุกและมีความสุขมากๆ

ปกติเวลาเที่ยวกันสองคนจะพกขาตั้งกล้องไปด้วยเผื่อไว้ถ่ายรูปคู่ ทริปนี้ก็พกมาเหมือนกัน แต่แทบไม่ได้หยิบมาใช้เลย เพราะพี่โจอาสาเป็นขาตั้งกล้องให้ รูปคู่สวยๆเป็นฝีมือพี่โจที่ถ่ายให้ทั้งนั้น จริงๆแล้วพี่โจคือหนึ่งในแรงบันดาลใจเรื่องถ่ายรูปของเราเลยนะ ไว้จบรีวิวทริปนี้จะมาเล่าประวัติคร่าวๆของพี่โจให้ฟัง ว่าเค้าทำอะไรมาบ้างและแรงบันดาลใจที่เราได้จากเค้าคืออะไร 

หลังจากที่กลับขึ้นรถมาอีกประมาณไม่เกินชั่วโมง รถก็มาจอดอยู่หน้าร้านอาหารแห่งนึง ร้านค่อนข้างใหญ่ ไกด์บอกร้านนี้เป็นร้านของคนท้องถิ่น อาหารอร่อย เราก็ให้เค้าเลือกเมนูให้เลย ถึงตอนนี้เค้าก็จะรู้แนวเราแล้วล่ะ ว่ากินอะไรได้บ้าง อยู่ด้วยกันในรถสองวัน พูดคุยถามโน่นถามนี่ พี่โจก็ร้องเพลงภาษาเวียดนามได้อีก เฮฮากันในรถตลอดทาง จนรู้สึกสนิทกับไกด์และคนขับโดยไม่รู้ตัว

 

ที่ร้านอาหารนี้ เค้าจะเสริฟถั่วมาให้กินเล่นก่อน มีพริกหั่น มีเกลือ พริกไทย มะนาว และซีอิ้วขาวมาให้จิ้ม ก็คงคล้ายๆกับพริกน้ำปลาบ้านเราแหละ พอเห็นอาหารที่วางตรงหน้าแล้วยิ้มเลย เพราะมันดูน่ากินม๊ากก มีไข่เจียว ผัดผักบุ้ง ผัดเต้าหู้ ทุกอย่างอร่อยอีกแล้ว กินไปด้วยนั่งคิดไปด้วยว่าเวียดนามมันไม่ได้แย่ซักหน่อยนี่นา อาหารก็อร่อย แต่เอาจริงๆนะถ้าเราไม่ได้มาที่นี่ ไม่ได้มาสัมผัสมันด้วยตัวเอง ก็คงไม่มีทางรู้ว่ามันเป็นยังไงและก็คงคิดว่าเวียดนามเป็นอย่างที่เค้าเล่าๆกัน

 

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ธรรมเนียมของคนที่นี่คือจะไปนั่งจิบชาและแคะฟันต่อ 555555 ฮามาก พี่โจกับตาลบอก นี่ๆดูสิ ปาร์ตี้ไม้จิ้มฟันอีกแล้ว คือไม่ว่าจะนั่งโต๊ะไหน พอกินข้าวเสร็จเค้าก็จะไปนั่งรวมตัวกันโต๊ะนึง ที่มียาเส้นและน้ำชาวางอยู่ เค้าก็จะจิบชาเพื่อล้างปาก บ้างก็แคะฟัน บ้างก็สูบยาเส้น ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน ดูชิวมากจริงๆ ฮ่าๆๆ

 

หลังจากออกเดินทางอีกซักพัก คนขับก็จอดให้แวะเข้าห้องน้ำ ข้างทางมีร้านขายของชำหลายร้าน ตอนนั้นกำลังคอแห้งหิวน้ำอยู่พอดี เหลือบไปเห็นร้านนึงขายน้ำอ้อย ดีใจมากก รีบวื่งไปสั่งเลย ที่ฟินคือน้ำอ้อยใส่น้ำแข็งด้วย อยู่ที่นี่หาน้ำแข็งกินยากพอได้กินแล้วชื่นใจสุดๆ

ด้านหน้าของร้านมักจะมีโต๊ะและเก้าอี้เตี้ยๆไว้ให้คนแวะมานั่งคุย จิบชาและดูดบุหรี่กัน บุหรี่ของเค้ามีเอกลักษณ์มาก เป็นบ้องไม้ไผ่ใหญ่ๆและมีที่ไว้ให้จุดยาเส้น มองเผินๆนึกว่าดูดกัญชาแต่จริงๆแล้วไม่ใช่นะคะ 555 คนขับรถกับไกด์นั่งคุยกับเจ้าของร้านตามประสาคนสนิทกัน พวกเราเลยขอไปเดินเล่น ดูบ้านเมืองเค้าแถวๆนั้นแป๊ปนึง เดินเล่นจนได้หมวกเวียดนามมาคนละใบเลย ไหนๆมาที่นี่ทั้งที ขอใส่หมวกให้เข้ากับบรรยากาศหน่อยเนอะ

รถขับไปต่อได้อีกซักพักใหญ่ๆก็ถึงจุดชมวิวอีกที่นึง พวกเราเรียกที่นี่ว่า ภูเขา Happy Birthday เพราะมันเหมือนเค๊กที่มีเทียนปักอยู่ไม่มีผิดเลย มุมนี้ก็สวย น่ารักดี ยืนสูดกลิ่นของธรรมชาติและถ่ายรูปเล่นซักพักก็ขึ้นรถ เพื่อเดินทางต่อไปยังที่พักคืนนี้

 

 

ตอนใกล้ถึงที่พักเราผ่านซอยเล็กๆซอยนึง มองออกไปนอกหน้าต่าง สองข้างทางน่าสนใจมาก เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ยามเย็น ชอบดูอะไรแบบนี้มาก เราเลยรีบถามไกด์ว่าขอลงไปเดินเล่นแถวนี้ก่อนได้มั๊ย จะเสียเวลามากรึเปล่า ไกด์บอกว่าที่พักอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้แล้ว เดินเล่นได้ เดี๋ยวเค้าจอดรถให้ เย๊ๆ ได้สนุกอีกแล้วสินะ : )เดินลงจากรถไปได้ไม่ไกลก็เห็นกระจกและมีเก้าอี้วางอยู่ตัวนึง คาดว่านี่คือร้านตัดผม เวลาชาวบ้านจะตัดผมก็คงมานั่งตรงนี้แหละ วินเทจมากๆ เลยถ่ายรูป Selfie 3 คนไว้เป็นที่ระลึกซะเลย ถัดมาอีกหน่อยก็เจอกับวัยรุ่นนั่งสูบบุหรี่กันชิวๆ พอเรายกกล้องถ่ายเท่านั้นแหละ สองคนซ้ายขวาหัวเราะแล้วเดินหนีไปเลย สงสัยคงจะเขิน ไม่ชินเวลาโดนแอบถ่าย เหลือแต่คนกลางที่ยังสู้กล้องและหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบแบบเท่ๆชนิดที่ว่านายแบบยังอาย 55555 ก็เลยได้ภาพนี้มาฝากกัน

เดินไปเรื่อยๆก็เจอกับอะไรบางอย่างเขียวๆ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งตะลึงกับความเขียว ในใจคิดนี่มันอะไรกันเนี่ย มือก็ถ่ายรูปรัวๆ เป็นภาพที่ไม่คุ้นเลย ไกด์บอกว่าที่นี่อ่ะคือโรงงานชาเขียว เค้าผลิตกันที่นี่แหละ ในขณะที่กำลังถ่ายรูปอยู่ ผู้ชายท่าทางนักเลงๆก็ส่งเสียงดังพูดกับไกด์เป็นภาษาเวียดนาม พวกเราพร้อมใจหันหลังพรึบ... คิดว่าโดนด่าแน่เลย เกะกะรึเปล่าก็ไม่รู้ที่ไปยืนถ่ายรูปตอนเค้าทำงาน แต่เอาจริงๆก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าพูดอะไร ฟังไม่ออก ไกด์เห็นท่าทางของพวกเราก็หัวเราะลั่น พร้อมทั้งบอกว่า คนนี้คือเจ้าของโรงงาน เค้าบอกว่าถ้าชอบ ถอดรองเท้าแล้วเข้าไปดูข้างในได้นะ เห้ยยยย!! จิงดิ จากที่หน้าซีดอยู่เมื่อกี้ ตาเป็นประกายและยิ้มกว้างเลย รีบเดินสิคะ รออะไร

ครั้งแรกที่เท้าได้สัมผัสบนกองชาเชียวสดๆก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกยังไงนะ มันนุ่ม มันชื้นๆ มันเขียวๆ 5555 ที่รู้ๆคือมันสนุกมาก 55555 ถ่ายรูปเล่นกันแป๊ปนึงก็ขอบคุณเจ้าของแล้วเดินจากมา พี่โจนี่ไวมาก เดินออกมาก่อนเราแป๊ปเดียว หันมาอีกทีขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ “เฮ้ย พี่ ไปอยู่บนนั้นได้ไงอ่ะ” เนียนสุดๆ คนอื่นที่ไม่รู้จักอาจคิดว่าคนนี้คือคนเวียดนามแท้ๆก็เป็นได้ ก่อนจะเดินกลับไปที่รถได้กลิ่นอะไรหอมๆโชยมา หันไปตามกลิ่นเจอชาวบ้านเตรียมอาหารเย็นอยู่ มื้อนี้เป็นหมูย่างทั้งตัวเลย โอ๊ย ท้องเริ่มร้อง!

นี่ก็ใกล้จะหมดวันที่สองแล้ว ระดับความสุขยังอยู่ Level สูงสุด ยังไม่เจอเรื่องอะไรไม่ดี มีแต่เรื่องสนุกๆ ที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจตลอดทาง

 

ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ รถก็มาหยุดอยู่หน้าที่พักพอดี ต้องบอกก่อนว่าเราเจอที่พักที่นี่ตอนหาข้อมูลเกี่ยวกับฮาซาง ในเนตก็ไม่ได้ลงรูปและข้อมูลอะไรมากนะ แต่ด้วยสัญชาตญาณของอินทีเรียแล้วคิดว่าที่นี่น่าจะสวย เลยระบุกับทัวร์ว่าคืนแรกที่มาถึงฮาซางขอพักที่นี่ พอก้าวลงจากรถเห็นสะพานที่ต้องข้ามเข้าไปที่พักก็อึ้งแล้ว ที่นี่สวยกว่าที่คิดไว้เยอะสะพานไม้ทอดยาวอยู่เหนือแม่น้ำสายใหญ่ อากาศเย็นๆ เสียงนกร้องและเสียงจิ้งหรีดตอนนี้ ทำให้เหมือนกับหลุดเข้าไปอยู่กลางป่ายังไงอย่างงั้นเลย เราสูดหายใจเข้าไปลึกๆให้อากาศบริสุทธ์เข้าไปถึงปอด สดชื่นจริงๆ 

และแล้วก็ถึงเวลานวด แค่ก้าวเข้าไปในห้องนั้น ความรู้สึกแรกคือ หอมมมมมม กลิ่นสมุนไพรบ้าอะไรไม่รู้ หอมแบบหอมมากๆ ได้กลิ่นแล้วรู้สึกผ่อนคลายสุดๆ มันไม่ได้หอมเหมือนดอกไม้นะ แต่มันหอมแบบอธิบายไม่ถูก ในห้องกว้างๆเค้าใช้ม่านไม้ไผ่แบ่งสัดส่วนเป็นสองโซนโดยโซนซ้ายจะเป็นที่นวด โซนขวาเป็นที่แช่น้ำอุ่น ในระหว่างที่เรากับตาลนวดอยู่ พี่โจก็จะแช่น้ำอยู่ฝั่งขวา สลับกันแบบนี้ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องชายหญิง : )

 

ฝีมือพนักงานนวดน้ำมันที่นี่พูดเลยว่าไม่ธรรมดา อาจเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของชาวเวียดนามก็ได้ แต่มันสบายมาก ทั้งกลิ่น ทั้งเพลง ทั้งบรรยากาศให้เต็มร้อยไปเลย พอนวดเสร็จก็ลงไปแช่ในถังไม้ น้ำในนี้อุ่นกำลังดีและหอมสมุนไพรมากๆ ต้นตอความหอมอยู่ในน้ำนี้แน่ๆ มีใบสมุนไพรลอยอยู่ด้วย หยิบมาดมนี่แบบว่าใช่เลย กลิ่นหอมกลิ่นนี้แหละที่เราชอบ หวังว่าคงจะไม่ใช่ชาเขียวที่ไปเล่นเมื่อตอนเย็น 5555 คืนนี้นอนหลับสบายมากๆ ห้องพักก็น่ารักตกแต่งแบบเรียบง่ายและมีคอนเซป ความรู้สึกแบบนี้สินะที่เรียกว่า "ความสุข"

bottom of page