top of page
ครูอาสาเฉพาะกิจ
 
วันที่1
 
เครื่องลงถึงเชียงใหม่ เวลา 11.30น. พี่เหมียวทีมงานจากมูลนิธิเกื้อฝันเด็กมารอรับอยู่แล้วพร้อมเคนจากเครือข่ายจิตอาสาที่จะขึ้นดอยไปด้วยกัน เท่ากับว่ามีสมาชิค 4 คน ที่จะไปลุยครั้งนี้ ก็คือ พี่เหมียว เคน ดาว ตาล พวกเราแวะเติมพลังกันก่อนจะออกเดินทางไกล และที่สำคัญไม่ลืมที่จะกินยาแก้เมารถ เตรียมพร้อมสำหรับหนทางขึ้นดอยที่หฤโหด รถเคลื่อนตัวออกจากเชียงใหม่เวลา 12.30น.จุดมุ่งหมายแรกก็คือโรงเรียนบ้านปุงยาม จังหวังแม่ฮ่องสอน  ตลอดระยะเวลา 5 ชั่วโมงครึ่งเจอโค้งนับพันโค้ง เจอหลุมบ่อที่ทำให้ตัวกระเด้งกระดอน ไม่มีปวดหัวซักนิด ขอบคุณยาแก้เมารถที่ออกฤทธิ์ได้ดีจริงๆ สงสารก็แต่พี่เหมียว ขับรถยิงยาวคนเดียวเกือบหกชั่วโมง เจอทั้งโค้งหักศอก ทางชัน ขึ้นเขา พี่เหมียวเอาอยู่ทุกสถานการณ์ แอบชื่นชมนะเนี่ย ^^
 
พวกเราถึงที่หมายเวลา 6โมงเย็นเป๊ะ
ที่นี่เป็นโรงเรียนไม้ตั้งอยู่ใจกลางภูเขา ติดกับชายแดนพม่า เปิดประตูรถออกมา รู้สึกได้ถึงอ๊อกซิเจน อากาศกำลังเย็นสบายสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ สดชื่นดีจัง : )  พี่เหมียวพาเดินไปยังโรงครัวที่อยู่ด้านข้างของอาคารเรียน ภาพที่เห็นคือเด็กน้อยสองคนนั่งปอกกระเทียมช่วยคุณครูเตรียมทำกับข้าวสำหรับมื้อเย็น นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขินอายแขกที่เพิ่งมาเยือน สุดมุมตึกเรียน เด็กผู้หญิสองคนกำลังเล่นกระโดดเชือก และผู้ชายนั่งเป่าหนังสติ๊กกัน เป็นภาพที่หาดูยากและไร้เดียงสาจริงๆ หลังจากนั้นครูอาสาก็เรียกเด็กที่นอนหอมาต่อแถวเพื่อเตรียมตัวทานข้าว เด็กๆยืนเข้าแถวกันเป็นระเบียบเรียบร้อย คนที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ก็จะคอยตักข้าวให้เพื่อนๆ ที่ประทับใจที่สุดก็คือ ก่อนทานข้าวเด็กๆจะร้องเพลงขอบคุณพระเทพ และขอบคุณที่มีข้าวทาน ทำเอาซึ้งเลย อาหารที่พวกครูทำให้เราทานมื้อเย็นวันนี้ มีน้ำพริกอ่อง ผัดถั่ว ผักลวก ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศบนดอย หรือเพราะคุณครูทำอาหารเก่ง เรารู้สึกว่าอาหารมื้อนี้อร่อยจังเลย ตักข้าวมาพูนจาน หมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว ตอนนั่งทานข้าวก็พูดคุยกับครูอาสาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้เรารู้ว่า
 
  • เด็กบางคนดื้อ ไม่ฟังครู ควบคุมยากมาก
  • จำนวนครูน้อยมากถ้าเทียบกับจำนวนนักเรียนทั้งหมด ครูแต่ละคนรับหน้าที่มาคนละ1วิชา แต่ต้องสอนทุกชั้น เริ่มตั้งแต่ชั้น ป1 - ป6  นักเรียน 100 กว่าคน ครูทั้งโรงเรียนมีแค่ 7 คน
  • หน้าทำนาเด็กๆบางส่วนต้องหยุดเรียนเพื่อไปช่วยแม่ทำนาทำให้การเรียนขาดช่วงไป
  • นอกจากสอนหนังสือแล้วครูยังต้องทำอีกหลายหน้าที่ ไม่ว่าจะดูแลนักเรียนที่อยู่หอ ทำกับข้าว และอื่นๆ
  • เด็กๆมีความฝัน แต่ความฝันของเค้ายังริบหรี่มาก จุดมุ่งหมายของบรรดาครูทุกคนก็ไม่ต่างกัน นั่นคือการทำให้เด็กๆเข้าใกล้ความฝันให้ได้มากที่สุด
 
ในขณะที่ทานข้าวไปได้ครึ่งจาน อยู่ดีๆไฟก็ดับพรึบทั้งโรงเรียน ทุกอย่างตกอยู่ในความมืดสนิท…. ครูอาสาบอกไฟหมดแล้วนะ อินเตอร์เนตก็จะใช้ไม่ได้ นั่นหมายความว่าพวกเราจะต้องอยู่ในความมืดจนถึงเช้า ที่เป็นอย่างงี้เพราะว่าบนนี้ไฟยังเข้าไม่ถึง แสงไฟที่ใช้จะได้มาจากโซล่าเซลเท่านั้น เก็บกักพลังงานไว้ใช้ได้นิดหน่อย วันไหนแดดดีไฟก็จะมีนานหน่อย วันไหนฝนตกก็ไม่มีไฟทั้งวัน…
 
พวกเราทานข้าวเสร็จประมาณหนึ่งทุ่ม บรรยากาศวังเวง ตอนเดินกลับห้องพักเงยหน้ามองท้องฟ้า มีแต่ความมืดมิด ไม่มีดาวเลยซักดวง ไฟจากแสงจันทร์ก็ไม่มี ไม่เคยเห็นท้องฟ้ามืดสนิทแบบนี้มาก่อน ที่พักที่ครูเตรียมไว้ให้อยู่ในห้องสหกรณ์ขายขนม กางเต้นท์ให้ทีมงานนอนเรียงกัน ตอนนี้ไฟฉายที่น้องชายให้มามีประโยชน์มาก อันเล็กๆแต่พลังแสงนี่สว่างใช้ได้เลยทีเดียว เราเตรียมหยิบชุดนอนและผ้าเช็ดตัวเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ ห้องน้ำอยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องอาบน้ำเย็นจากในตุ่มท่ามกลางความมืด รู้สึกตื่นเต้นยังไงก็ไม่รู้ บอกไม่ถูก ไปถึงห้องน้ำก็จัดการวางของไว้บนฝาสังกะสี ฉายไฟไปที่ตุ่มน้ำ เอ๊ะ! นั่นตัวอะไร เพ่งมองดีๆก็ต้องขนลุก เพราะในน้ำมีหนอนที่มีขนลอยอยู่ หรือที่เรียกอีกอย่างว่าตัวบุ้งนั่นเอง เอาแล้วไง โอ๊ย! แล้ว เราจะอาบได้มั๊ยเนี่ยยย!! ไหนจะต้องล้างหน้าแปรงฟันจากน้ำในตุ่มนี้อีก ……. มาถึงตอนนี้ต้องอดทน เราทำใจมาเจอกับความลำบากแบบนี้อยู่แล้วนะ เสียงในหัวตีกันน่าดู สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเอาขันตักตัวบุ้งทิ้ง และรีบจ้วงน้ำใส่ขัน ตักอาบแบบไม่ลืมหูลืมตา น้ำในตุ่มเย็นเจี๊ยบ หนาวก็หนาว มืดด้วย ในใจภาวนาขออย่าให้มีสัตว์อะไรโผล่ออกมาอีกเลย คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย T T
 
และแล้วการอาบน้ำคืนแรกก็ผ่านไปด้วยดี รู้สึกสดชื่นมากกก อาบน้ำเย็นๆในความมืดเป็นแบบนี้นี่เอง นึกในใจพร้อมยิ้มอยู่คนเดียวระหว่างทางที่เดินกลับห้อง  หลังจากเอารูปในกล้องถ่ายใส่ Hard disk เรียบร้อยแล้วก็เป็นเวลาประมาณสองทุ่ม ชักจะปวดฉี่แฮะ ก็สะกิดตาล “ตาลๆปวดฉี่อ่ะ ออกไปฉี่เป็นเพื่อนหน่อยหน่อยดิ ตอนกลางดึกจะได้ไม่ต้องออกมาอีก” ไปดิๆ ตาลรีบตอบ พร้อมทั้งจัดแจงหยิบไฟฉาย เพราะตัวเองก็ปวดเหมือนกัน เปิดประตูห้องออกไปลมจากความมืดก็พัดวูบผ่านหน้าเบาๆ ถ้าต้องเดินออกมาคนเดียว มั่นใจว่าต้องก้าวขาไม่ออกแน่ เราเดินฝ่าความมืดมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ ซึ่งเป็นคนละที่กับที่อาบน้ำไปตอนหัวค่ำ พอฉายไฟฉายส่องเข้าไปในห้องน้ำ ก็ต้องสะดุ้งอีกรอบ สิ่งที่เห็นก็คือ แมงมุมตัวเบ้อเริ่ม ขนาดครึ่งฝ่ามือ เกาะอยู่ตรงอ่างล้างมือ ใกล้ๆกับก๊อกน้ำ นี่มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรากลัวที่สุด แล้วตัวนี้ใหญ่สะพรึงมาก แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ ทำเป็นมองไม่เห็น!!
หลังจากทำธุระเสร็จก็พร้อมที่จะนอนหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางทั้งวัน….  กลางดึกคืนนั้นแว่วเสียงอะไรบางอย่างดังอยู่ในความมืด  ตึกๆ ตึกๆ ความรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่หูได้ยินเสียงเหมือนใครพิมพ์ดีดอยู่ในห้อง แต่นาทีนั้นลืมตาไม่ไหวจิงๆ ช่างมันเถอะ อาจจะเป็นเสียงกิ่งไม้หล่นบนหลังคาก็ได้มั้ง มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงนาฬิกาในมือถือปลุก หยิบขึ้นมาดูตีห้าครึ่งพอดี
 
 
วันที่2
 
ลืมตามาก็ได้ยินเสียงเด็กๆคุยกันด้านนอก เด็กๆที่นอนหอก็คงตื่นแล้ว หลังจากล้างหน้าล้างตาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาเดินเล่นรอบๆโรงเรียน ฝนตกเปาะแปะเบาๆ บรรยากาศชวนให้เหงา “หอ มอ อู หมู” เสียงเล็กๆดังแว่วขึ้นมา หันไปตามเสียงก็เจอเด็กน้อยคนนึงนั่งอ่านนิทานอยู่คนเดียว เลยเดินเข้าไปสอน นี่ขนาดยังไม่ถึงเวลาเรียนนะเนี่ย พยายามอ่านและนั่งสะกดคำด้วยตัวเอง สะกดผิดมั่งถูกมั่ง แต่เห็นถึงความตั้งใจและความพยายามมากๆ น่าชื่นใจแทนพ่อแม่ของเด็กน้อยคนนี้จริงๆ
 
วันนี้หลังจากที่เด็กๆทานข้าว เคารพธงชาติเรียบร้อยแล้ว ทีมงานต้องประชุมกับครูอาสา ห้องเรียนก็จะขาดครู เราเลยเข้าไปสอนนักเรียนห้องที่ว่างอยู่ เป็นห้องเด็กอนุบาล เด็กๆซนเหมือนลิงเลย วิ่งไปวิ่งมา บ้างก็ปีนหน้าต่าง บ้างก็กระโดดโลดเต้น กว่าจะจับให้นั่งนิ่งๆแล้วตั้งใจฟังที่สอนก็เล่นเอาเหนื่อย เข้าใจเลยว่าคนที่ตั้งใจจะมาเป็นครูอาสา ต้องมีความอดทนแค่ไหน นอกจากต้องมีใจรักเด็กมากๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังต้องเป็นคนใจเย็น และมีจิตวิทยาในการสอนมากๆ บางคนได้ยินว่าจะมาสอนเด็กบนดอย คิดว่า เฮ้ย! น่าสนุก อยากสอน เด็กดอยน่ารัก เอาเข้าจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างที่คิด ครูอาสาทำงานหนักและเหนื่อยมาก เด็กๆไม่ได้มีแต่ความน่ารักอย่างเดียว ที่ดื้อที่ซนก็เยอะ ต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่งมาทำกับข้าวให้นักเรียน ต้องดูแลนักเรียนที่อยู่หอ ต้องสอนหนังสือ ต้องทำแผนการเรียน และต้องทำรายงานผลลัพธ์ที่ได้ส่งทีมงานเกื้อฝันเด็กเป็นระยะ  นี่แหละชีวิตจริงๆของครูอาสา พอรู้อย่างนี้แล้ว เรานับถือใจของน้องๆพวกนี้มาก ทุกคนมาด้วยใจจริงๆเลยทำให้พวกเค้าข้ามผ่านความยากลำบาก และอุปสรรคอื่นๆได้  แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งเล็กๆที่พวกเค้าทำ อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ก็ได้
 
เผลอแป๊ปเดียวก็บ่ายสองแล้วถึงเวลาที่เราจะต้องออกเดินทางไปยังอีกโรงเรียนนึง ลาก่อนเด็กๆ ลาก่อนโรงเรียนบ้านปุงยาม  จากที่นี่ไปยังโรงเรียนห้วยแห้ง ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่ง แต่เป็นสองชั่วโมงครึ่งที่ทรมานเพราะลืมกินยาแก้เมารถ!! พอมารู้ตัวอีกทีก็มึนหัว คลื่นไส้ตลอดทาง
Note* ยาแก้เมารถออกฤทธิ์ได้ดีมากถ้าเรากินก่อนออกเดินทางซักครึ่งชั่วโมง แต่ถ้ากินหลังจากเมาแล้วกว่ายาจะออกฤทธิ์ก็นานเลย ประมาณชั่วโมงครึ่งถึงจะหายเมา
 
เส้นทางยังโหดเหมือนเดิม ทั้งขึ้นเขาลงเขาทั้งโค้งสารพัด แอบแปลกใจที่พี่เหมียวกับเคนยังดูสบายดี เก่งกันจริงๆ ก่อนจะถึงทางเข้าตัวโรงเรียน เราจะผ่านหมูบ้านเล็กๆ ชาวบ้านที่นี่เค้าจะเลี้ยงวัว เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติ มีความสุขแบบพอเพียงตามคำสอนของในหลวง
 
พอถึงโรงเรียนผอ.ก็ออกมาต้อนรับพวกเราอย่างเป็นมิตร โรงเรียนที่นี่เล็กๆแต่ทุกอย่างเรียบร้อยเป็นระเบียบมาก ตอนที่พวกเราไปถึงเด็กๆเลิกเรียนแล้ว เล่นกันอยู่ที่สนามเด็กเล่น สนุกสนานตามประสา เห็นแล้วทำให้ย้อนคิดไปถึงวัยเด็ก ช่วงเวลานั้นเป็นอะไรที่มีความสุขมาก วิ่งเล่นกับเพื่อน กินขนม ไม่ต้องคิดอะไรเลย พอโตมาความสนุกแบบนั้นก็ค่อยๆหายไปมีคำว่าภาระ หน้าที่และความรับผิดชอบเข้ามาแทนที่
 
ตกเย็นแล้วได้เวลาทานข้าว คุณครูทำกับข้าวรอพวกเราเรียบร้อยแล้ว ผอ.ก็มานั่งทานข้าวกับเราด้วย ผอ.เป็นคนน่ารัก คุยสนุก มื้อเย็นวันนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ไม่คิดเลยว่าการที่เราได้นั่งทานข้าวกับคนที่ไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน จะทำให้ใจเบิกบานได้ขนาดนี้
หลังจากทานข้าวเสร็จ พวกเราก็ช่วยกันล้างจานและต่างก็แยกย้ายไปทำธุระของตัวเอง พี่เหมียว เคน และครูอาสาต้องไปนั่งประชุมกัน ส่วนเรากับตาลก็เตรียมตัวอาบน้ำ โรงเรียนนี้มีไฟ ค่อยยังชั่วหน่อย อะไรๆก็ง่ายขึ้นเยอะเลย ตอนอาบน้ำไม่เจออะไรแปลกประหลาดนอกจากผี้เสื้อกลางคืนตัวเบ้อเริ่ม เกาะอยู่ใกล้ๆกับที่แขวนผ้าเช็ดตัว คืนนี้เรานอนกางมุ้งในห้องพักเดียวกับครูอาสา ก่อนนอนไปดูกิจกรรมของนักเรียนหอ สวดมนต์นั่งสมาธิกันก่อนนอน เสร็จแล้วก็รีบกลับห้องนอนเอาแรงเพราะต้องตื่นตีห้าครึ่ง ก่อนจะหลับตานอนก็ได้ยินเสียงฝนตกกระทบกับหลังคาจากเปาะแปะๆก็กลายเป็นตกหนักซู่ซะงั้น เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้
 
วันที่3
 
เสียงนาฬิกาปลุกดังพร้อมๆกับเสียงขยับตัวของครูอาสา ครูต้องตื่นเวลานี้ทุกเช้าเพื่อเตรียมตัวออกไปทำกับข้าวให้เด็กๆทานที่โรงอาหาร ส่วนเราก็รีบไปอาบน้ำแปรงฟัน เตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมในวันนี้ หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว ยังมีเวลาว่างก่อนที่เด็กๆจะเข้าเรียน เราออกไปเดินเล่นแถวๆหมู่บ้าน นั่งดูหมู ดูไก่ขุ้ยเขี่ยหาอาหาร อากาศเย็นๆกับหมอกยามเช้า และเสียงไก่ขัน ทำให้จิตใจสงบ สบายใจอย่างบอกไม่ถูก บรรยากาศแบบนี้ช่างต่างกับบรรยากาศในเมืองหลวงราวฟ้ากับดิน นี่ถ้าไม่ติดภาระหน้าที่เรื่องงานและความรับผิดชอบอีกหลายๆอย่างเราก็อยากที่จะมีบ้านเล็กๆอยู่บนดอย อยู่กับธรรมชาติแบบนี้นะ มีความสุขดี คิดไปก็อมยิ้มไป
 
แปดโมงเช้าได้เวลานักเรียนเคารพธงชาติ หลังจากเคารพธงชาติเสร็จก็มีกิจกรรมต่างๆมากมาย ทั้งเต้นออกกำลังกาย พี่โตสอนคำศัพท์ใหม่ให้น้องๆรู้ และร้องเพลง อย่างหลังนี่ทำเอาน้ำตาซึม เด็กๆร้องเพลง “โรงเรียนของหนู” ด้วยสำเนียงชาวเขา เน้ือเพลงมันกระแทกใจมากๆ จะทำยังไงน๊า ที่จะช่วยเด็กๆพวกนี้ได้ หลังจากที่ได้มาใกล้ชิดและสัมผัสวิถีชีวิตของพวกเค้า ก็รู้เลยว่าสิ่งที่พวกเค้าขาดที่สุด ไม่ใช่บรรดาสิ่งของ แต่คือ “ครู” ครูที่มาสอนพวกเค้าด้วยใจ คอยให้ความรู้ เติมเต็มสิ่งที่เค้าขาดทั้งในด้านการศึกษาและการใช้ชีวิตในสังคม อนาคตของเด็กดอยพวกนี้ยังริบหรี่นัก แต่เราเชื่อว่าถ้าทุกคนร่วมแรงรวมใจกัน ช่วยเท่าที่จะช่วยได้ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ มันอาจจะนำไปซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต
 
หลังจากที่ได้เข้าไปในห้องเรียน เข้าไปช่วยครูอาสาสอนหนังสือได้พักใหญ่ๆก็ถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางอีกแล้ว พวกเราต้องออกเร็วหน่อยเพราะว่าระยะทางที่จะไปโรงเรียนที่สามไกลจากที่นี่มากๆ จากบทเรียนเมื่อวานพวกเราไม่ลืมที่จะกินยาแก้เมารถก่อน และก็ได้ผลจริงๆ วันนี้ไม่เมารถเลย แต่ระยะทางเกือบหกชั่วโมงวันนี้ พูดเลยว่าโหดสุด ทางเป็นหลุมเป็นบ่อขรุขระเต็มไปด้วยขี้ดินและโคลน ขึ้นเขาชันๆ เผลอหลับไปแป๊ปเดียวรู้สึกได้ว่าหัวกระแทกกระจกหลายทีเลย เจ็บหัวไปหมด วิวข้างทางขึ้นไปโรงเรียนนี้สวยมากๆ เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี มีนาขั้นบันไดเต็มเลย สวยเหมือนในรูปที่เคยเห็น
 
กว่าจะถึงโรงเรียนบ้านห้วยปูก็เป็นเวลาเกือบๆสี่โมงเย็นแล้ว ไม่รู้ว่าโรงเรียนนี้ตั้งอยู่สูงหรือยังไง เปิดประตูรถออกมาคิดว่าเป็นหน้าหนาว อากาศเย็นสดชื่นมากๆ เด็กๆที่นี่น่ารักน่าเอ็นดู เห็นพวกเราก็ไหว้สวัสดีค่ะ สวัสดีครับกันทุกคน หลังจากเก็บสัมภาระเข้าที่พัก พี่เหมียวกับเคนประชุมกับบรรดาครูอาสา เราก็ลงไปช่วยครูประจำตำน้ำพริกเตรียมสำหรับมื้อเย็น ครูบอกว่าวันนี้เป็นมื้อพิเศษ  เราจะกินหมูกระทะกัน!! เย๊ ไกลขนาดนี้ยังมีหมูกะทะให้กินด้วย ดีจุง พูดเลยว่ามื้อเย็นวันนี้มีความสุขมากๆ พวกครูทั้งโรงเรียนรวมพวกเราด้วยน่าจะประมาณเกือบ 10คน นั่งล้อมวงกันกินหมูกะทะ พร้อมทั้งนั่งพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น คุยเรื่องนั่งเรียนคนโน้นคนนี้ ปล่อยมุขมาฮากันท้องแข็ง นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้หัวเราะดังขนาดนี้ : )
 
หลังจากทานเสร็จเรียบร้อย พวกคุณครูยังนั่งคุยกันต่อแต่เรากับตาลขอตัวกลับขึ้นมาอาบน้ำก่อน ดีใจที่คืนนี้ไม่เจอสัตว์ประหลาดใดๆในห้องน้ำ หลังจากอาบน้ำสระผมเสร็จถึงห้องพัก ไฟก็ดับพรึบลง เหลือแต่ความเงียบสงัด เหตุการณ์นี้คุ้นๆเหมือนเดจาวู   “โหย โชคดีอ่ะตาลที่อาบน้ำเสร็จแล้ว ไม่งั้นต้องอาบน้ำในความมืดอีกแหงๆ" ผมยังเปียกๆอยู่เลย ไฟหมดซะแล้วคงอดไดร์แล้วล่ะ ต้องให้ผ้าซับๆเอาให้แห้งที่สุดแล้วค่อยนอน ที่นี่แมลงเยอะมากๆไต่กันเต็มมุ้งไปหมด โชคดีนะเนี่ยที่เตรียมมุ้งมาด้วย ไม่งั้นแมลงไต่ทั้งคืนแน่
 
วันที่4
 
เช้านี้ตื่นขึ้นมาพร้อมความรู้สึกสดชื่นสุดๆสงสัยเป็นเพราะอากาศเย็นและได้รับอ๊อกซิเจนเต็มที่ เดินออกมาจากห้องพักภาพที่เห็นก็ทำให้อึ้งไปสามวิ เด็กตัวเล็กๆที่กำลังช่วยกันทำความสะอาดห้องน้ำอยู่ หันมายกมือไหว้ พร้อมทั้งพูดว่า "สวัสดีค่า"  มองไปอีกมุมก็เห็นเด็กท่าทางเหมือนหัวโจกกำลังกวาดพื้นอย่างขมักเขม้น ใกล้ๆห้องเรียนเด็กโตสามสี่คนกำลังยกถังขยะไปเท เด็กทุกคนใส่ชุดชาวเขาประจำเผ่า (เด็กๆจะใส่ชุดประจำเผ่าตัวเอง เฉพาะวันศุกร์) เป็นภาพที่ประทับใจมาก คงอยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืมเลยล่ะ  
 
นักเรียนที่นี่มีระเบียบวินัย level สูงสุด ถือเป็นเรื่องดีๆอีกเรื่อง นี่ก็สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่ครูสอนเด็กๆไว้ได้ผลดีแค่ไหน ส่วนใหญ่เด็กที่นี่จะขี้อาย ถามอะไรก็จะเขิน ต้องใช้เวลาปรับตัวซักพักถึงจะชิน หลังจากได้สอน ได้พูดคุยกับเด็กๆ และได้คุยกับครูอาสาทำให้รู้ว่า เด็กที่นี่มีมุมความคิดต่างจากพวกเรามากนัก ยกตัวอย่างเรื่องที่ครูยิ้ม ครูอาสาเล่าให้เราฟังว่า มีวันนึงเด็กๆพาครูออกไปเดินเล่นตามร่องนา และบังเอิญเจองู ครูยิ้มรีบบอกเด็กๆให้ถอยห่าง อย่าเข้าไปใกล้ และอย่าทำร้ายเค้า มันอันตราย สิ่งที่เด็กๆตอบกลับมาก็ทำให้ครูยิ้มอึ้งไปเลย “ครูไม่ต้องกลัวคับ เดี๋ยวพวกผมจัดการให้เอง”  แล้วเด็กๆก็จัดการตีงูจนตายภายในเวลาแป๊ปเดียว “เค้าก็อยู่ของเค้าดีๆไปฆ่าเค้าทำไมคับ” ครูยิ้มถาม เด็กน้อยคนนึงตอบกลับมาว่า “ไม่ได้หรอกคับ ถ้าพวกผมไม่ฆ่าเค้าวันนี้ วันหน้าเค้าก็อาจจะมากัดพวกผมหรือไม่ก็คนที่เดินผ่านแถวนี้ได้ ผมกับเพื่อนก็วิ่งเล่นแถวนี้อยู่บ่อยๆ มันอันตราย” คำตอบนี้สะท้อนให้เห็นถึงทักษะการเอาตัวรอดของเด็กที่นี่ทางด้านวิชาการเค้าอาจจะสู้เด็กในเมืองไม่ได้ แต่การใช้ชีวิต การเอาตัวรอดและความอดทนรับรองว่าผู้ใหญ่อย่างเราต้องอายเลยทีเดียว
 
จะมีทางไหนบ้างที่จะช่วยให้เด็กๆพวกนี้มีอนาคตที่ดีได้ น่าเสียดายที่สภาพแวดล้อมหลายๆอย่าง อาจจะด้วยครอบครัว ความเชื่อ และฐานะทางบ้าน บวกกับความห่างไกล ทำให้การศึกษาสำหรับพวกเค้าดูไม่สำคัญเท่ากับการทำมาหากินหรือการช่วยพ่อแม่ทำนาทำไร่  สิ่งที่เด็กๆต้องการมากที่สุดแท้จริงแล้วไม่ใช่วัตถุ สิ่งของ หรือของมีค่า แต่เป็นความรู้ความเข้าใจ ที่สามารถทำให้พวกเขาดำเนินชีวิตรอดในอนาคตได้ ไม่ได้ต้องเก่งเทียบเท่าเด็กในเมือง แต่เก่งพอที่จะเอาความรู้ที่มีมาพัฒนาต่อยอดในการใช้ชีวิต ในการทำมาหากินและกลับมาพัฒนาหมู่บ้านของพวกเค้าได้ …
 
คำถามคือคนธรรมดาๆอย่างพวกเราพร้อมหรือยัง ที่จะเข้ามาเป็นส่วนเล็กๆ ที่ช่วยกันพัฒนาการศึกษาไทยให้ทั่วถึงซักที : )
 
ถ้าใครคิดว่าตัวเองพร้อมจริงๆทั้งร่างกายและจิตใจที่จะไปเป็นครูอาสาเป็นเวลา 4 เดือนเต็ม ตอนนี้มูลนิธิเกื้อฝันเด็กเปิดรับสมัครครูอาสารุ่นที่4แล้ว คลิ๊กที่รูปด้านล่างเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยค่ะ 
 
bottom of page