top of page

New Zealand Southern Island 

Roadtrip Diary
แรกเริ่มเดิมทีนิวซีแลนด์ ก็เป็นแค่ดินแดนในฝัน เคยเห็นรูปที่คนอื่นไปมา โอ้โห! มันสวยมากอ่ะ วิวภูเขา ทุ่งหญ้าและฝูงแกะ อยากไปเห็นด้วยตาตัวเองซักครั้ง แต่ยังไม่มีโอกาส จนวันนึงมาคุยกับเม เพื่อนสนิทตั้งแต่ ป2. “ ไปนิวซีแลนด์กันมั๊ย” เมถามขึ้นมาเล่นๆ “พูดจริงพูดเล่น ไปจริงนะเว้ย” มารู้สึกตัวอีกทีก็จองตั๋วไปเรียบร้อยแล้ว กำหนดการคือไปหาเมที่เมลเบิร์นก่อน แล้วค่อยออกเดินทางไปนิวซีแลนด์พร้อมกัน (เมอยู่เมลเบิร์นเกือบ10 ปีจนได้เป็นพลเมืองที่นั่นละ) ทริปนี้เราจะเดินทางด้วยรถบ้าน ตะลุยเกาะทางตอนใต้ทั้งหมดของนิวซีแลนด์กินนอนอยู่ในนั้นเป็นเวลา 23 วัน มีสมาชิคร่วมผจญภัยทั้งหมด 4 คน ก็คือเรา(ดาว) ตาล เม และเจต (แฟนเม) เนื่องจากเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างจะยาวนาน เราจะสรุปเรื่องราวการเดินทางคร่าวๆทั้งหมดไว้ในตอนแรก และรายละเอียดปลีกย่อยกับคลิปวีดีโอจะตามมาในตอนที่สองนะคะ
 
เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางและใช้ชีวิตกินนอนในรถบ้าน ก็คงเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดกันบ้าง อย่างแรกเลย เริ่มจากรถมีขนาดใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก (ยาว 7.7 เมตร) ข้อดีคือพวกเรา4คน อยู่กันได้แบบสบายๆไม่อึดอัด แต่ข้อเสียคือ รถใหญ่ขนาดนี้เวลาขับบนถนนของประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งคดเคี้ยวเลี้ยวลด เหมือนงูกินหาง เวลาเจอโค้งทีนึง ด้านหลังของรถมันจะเหวี่ยง ทำให้คนนั่งหลังเกิดอาการเมารถได้ง่ายๆ
 
เลยอยากจะขอเตือนว่าใครจะวางแผนเที่ยวทริปรถบ้าน ที่ขาดไม่ได้คือยาแก้เมารถค่ะ สำคัญมากจริงๆห้ามลืมเด็ดขาด!!  สิ่งที่ไม่คาดฝันอย่างที่สองคือ เข้าใจว่าในรถบ้านมีที่ชาร์ตไฟเหมือนบ้าน จริงๆแล้วไม่มีนะ ไฟและน้ำในรถมีจำนวนจำกัด เปรียบเทียบง่ายๆให้เห็นภาพ ไฟที่มีในรถเหมือนแบตมือถือ ใช้ไปนานๆไม่ชาร์ตเพิ่ม ไฟก็หมด ส่วนน้ำก็เหมือนมีน้ำในกระติก พอสำหรับใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น แล้วในแผนการเดินทางเรานอนในป่าเป็นหลัก สองสามวันถึงจะนอนในที่ๆชาร์ตไฟและเติมน้ำได้!! เท่ากับว่าแบตมือถือ แบตคอม แบตกล้อง ต้องใช้อย่างประหยัด รวมทั้งน้ำก็จะไม่ได้อาบทุกวัน  การผจญภัยที่แท้จริงทำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!! วู้ฮู้~!!!
ครึ่งวันแรกของการเดินทางอากาศดี๊ดี แดดออก ฟ้าใส ถึงแม้จะเมารถแต่ทัศนียภาพนอกรถก็ทำให้เรายิ้มได้ วิวข้างทางสวยมาก ท้องฟ้าสีฟ้าตัดกับทุ่งหญ้าสีเขียว มีฝูงแกะนับร้อยตัวกำลังเล็มหญ้าอยู่ มองแล้วคิดในใจนี่เรามาถึงนิวซีแลนด์แล้วจริงๆด้วย ยิ้มกันแบบไม่หุบ ดูวิวกันแบบเพลินๆทำให้ลืมปวดหัวไปได้บ้าง 
ที่แรกที่แวะไปคือ Paparoa National Park  ทางเข้าที่นี่มีต้นไม้หน้าตาประหลาดทรงสูงเรียงรายอยู่สองข้างทาง ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในไร่ข้าวโพดไม่มีผิด เดินเข้าไปเรื่อยๆซักประมาณ 15 นาที จะเจอวิวทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา และผาหินตั้งตระหง่าน ทำให้รู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ลม ฝน และน้ำทะเลกัดเซาะหินให้เป็นรูปเป็นร่างคล้ายสัตว์ในตำนาน ลองเทียบๆดู เออ เหมือนจิงๆด้วย
ที่ต่อมาคือ Abel Tasman National Park มองไปรอบๆ ที่นี่คล้ายกับทุ่งหญ้าในทะเลทราย อาจเป็นเพราะว่าสีของต้นหญ้าเป็นสีน้ำตาลทำให้รู้สึกว่าบรรยากาศสวยแบบลึกลับ  ที่นี่เราจะเจอลำธารขนาดเล็ก ทะเล ป่า เดินเข้าไปได้กลิ่นหอมของดินหลังฝนตก ชื่นใจจริงๆ
มีอยู่วันนึง ในขณะที่กำลังนั่งมองวิวจากในรถกำลังเพลินๆ  เอี๊ยดด!! เจตจอดรถแบบไม่ทันตั้งตัว หัวเกือบทิ่ม
เรา :  จอดทำไมอ่ะเจต มีอะไรป่าว
เจต : เหมือนมีจุดดำๆอะไรริมทะเลเต็มเลย ไม่รู้ตัวอะไร ลงไปดูกันมะ
 
แล้วพวกเราก็พร้อมใจกันลงจากรถ เดินไปสามก้าว ชะโงกหน้าไปดู เฮ้ย!! แมวน้ำ 55555 แมวน้ำตัวอ้วนที่กำลังนอนคุยเล่นกับเพื่อนเพลินๆ
หันมามองเพราะตกใจเสียงพวกเรากรี๊ดกร๊าด  พวกมันไม่ได้อยู่แค่ริมทะเล นอนเอกเขนก หยอกล้อกันอยู่พงหญ้าติดกับที่จอดรถเลย เกิดมาเพิ่งจะได้ใกล้ชิดแมวน้ำขนาดนี้ สนุกกันมาก มารู้ทีหลังเพราะเรากำลังเข้าสู่เขต Kaikoura แล้วนั่นเอง ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของแมวน้ำ มีเยอะมาก แล้วก็ชอบมาใกล้คนด้วย ไม่กลัวเลย
แถวๆ Point Kean Carpark ก็จะมีแมวน้ำเพียบเหมือนกัน พวกมันเดินไปมา มุดใต้ท้องรถคันโน้น โผล่มาคันนี้ บางตัวยืนสู้กล้องให้ถ่ายรูปซะด้วย ไม่ธรรมดาเลยแมวน้ำที่นี่ กันเองมาก ใกล้ๆกันจะมีทางขึ้นไปบนยอดเขา Kaikoura Peninsula Walkway ใช้เวลาเดินขึ้นไปประมาณครึ่งชั่วโมง เห็นวิวข้างบนแล้ว โอ้โห!! รักเลยอ่ะ วิวสวย เห็นทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทางเดินขึ้นไปเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีเหลืองทอง ปกติเคยเห็นแต่ในหนัง มาเจอของจริงเลยฟินมาก ประทับใจที่นี่สุดๆ วิ่งเล่นในทุ่งกันสนุกสนาน ไม่ควรพลาดนะที่นี่ แนะนำให้มาให้ได้
ทริปนี้นอกจากเจอแมวน้ำแบบใกล้ชิดสนิทสนมแล้ว ตอนไปที่เมือง Hanmer Springs ยังเจอเป็ดด้วย ไม่ใช่ตัวสองตัว แต่มาเป็นฝูง เป็นร้อยๆตัวเลยอ่ะ  พวกมันวิ่งเล่นไปมา บินเล่นน้ำอยู่ที่บึงกลางเมืองเลย 

 

เมืองนี้บรรยากาศดูผู้ดี๊ ผู้ดี มีโรงแรมสวยๆ มีน้ำพุร้อนให้แช่ มีร้านน่ารักๆ เป็นเมืองที่เหมาะกับการใช้ชีวิตแบบ Slowlife มากๆ พวกเราได้ลองขี่จักรยานหมู่กันด้วย ที่เรียกว่าจักรยานหมู่เพราะต้องใช้แรง4คนช่วยกันปั่นหลบรถ ขึ้นเขา ยิ่งตอนลงเนินไม่ต้องพูดถึง เสียวมว๊ากก เบรกกันตัวโก่ง  ลุ้นสุดๆไม่ใช่อะไร กลัวเบรกไม่อยู่แล้วจะลอยข้ามเลนไปโดนรถเสยได้ แต่ยังไงก็สนุกมากๆอยู่ดี   อากาศหนาวแต่ปั่นจนเหงื่อออกเลย เป็นวิธีแก้หนาวที่ได้ผลดีมาก เดี๋ยวรอดูในวีดีโอนะ
ที่ต่อมาก็เป็นอีกหนึ่งHi light ที่ไม่ควรพลาด ที่ Hokiitika George  จะมีสะพานยาวๆข้ามแม่น้ำสีฟ้า เค้าเล่ากันว่าสาเหตุที่น้ำเป็นสีฟ้าขนาดนี้ก็เพราะ ตรงนี้เป็นจุดต้นน้ำที่ธารน้ำแข็งละลายลงมาพอดี  สีฟ้ามันฟ้าได้ใจม๊าก มาก เห็นแล้วอยากกินไอติมขึ้นมาเลย

 

วันรุ่งขึ้นเลยขอไปดูธารน้ำแข็งของจริงที่ Franz Josef Glacier ซักหน่อยว่าจะเป็นยังไง เราต้องใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงที่หมาย บรรยากาศรอบๆทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์ ตาลบอกว่าเหมือนที่คุมขังนักโทษ Zod ในเรื่อง superman ยังไงอย่างงั้น  
ภูเขาสูงตระหง่านขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้า ทางเดินมีแต่ก้อนหินที่มีตะใคร่สีเขียวจับอยู่ มีบางจุดที่ต้องเดินขึ้น ทางชัน ขรุขระ และเดินลำบากมาก ค่อนข้างอันตรายเลยแหละ ลื่นล้มเอาได้ง่ายๆ มีป้ายเตือนระวังน้ำแข็งหล่นทับตลอดทางด้วย 

 

มีความรู้สึกว่ายิ่งขับลงตอนใต้ของเกาะมากขึ้นเท่าไหร่ อากาศก็ยิ่งหนาวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ รวมถึงวิวทิวทัศน์ก็ยิ่งสวยขึ้นด้วยเช่นกัน ทำไงได้ จอดรถลงไปถ่ายรูปสิครัช : )
มีอีกที่นึงที่ประทับใจมาก ส่วนใหญ่คนที่วางแผนมาเที่ยวเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ มักจะไม่พลาดจุดนี้ก็คือ Lake Matheson ที่นี่มีทะเลสาบน้ำสีดำ ไม่รู้ทำไมถึงดำเหมือนกัน แต่เพราะความดำทำให้เงาสะท้อนของน้ำชัดและสวยมาก พูดเลยว่าให้นั่งอยู่ที่นี่ทั้งวันก็ไม่เบื่อ อยากมองนานๆ ไม่อยากจะละสายตาเลย  ดูรูปแล้วจะรู้ว่าทำไม เหมือนมีมนต์สะกดจริงๆ
เมือง Wanaka เป็นเมืองเล็กๆริมทะเล ที่เราจะต้องขับผ่าน เลยแวะลงไปเดินเล่น จิบกาแฟซักหน่อย ไหนๆผ่านมาแล้ว ที่นี่มีร้านอาหาร ร้านไอติม และร้านกาแฟให้นั่งชิลเยอะ มีสวนสาธารณะที่มีไดโนเสาร์ตั้งอยู่ด้วย Intrendมาก กำลังมีหนังJurassic worldอยู่พอดี เด็กๆคงชอบ ที่นิวซีแลนด์สังเกตุได้เลยนะ ที่ไหนมีทะเลสาบ ที่นั่นจะมีเป็ด!! 
วันที่ทรหดที่สุดของทริปน่าจะเป็นวันนี้ วันที่พวกเราตัดสินใจเดินขึ้น Roy Peak เค้าว่ากันว่ากว่าจะเดินถึงยอดเขาต้องใช้เวลา 3 ชั่วโมง กลับอีก3ชั่วโมง รวมเวลาเดินทางทั้งสิ้น เท่ากับ 6ชั่วโมง พอเอาเข้าจริงทางทรหดกว่าที่คิดไว้หลายเท่า บางจุดทางขึ้นแคบและชันมาก เดินพลาดนิดนึงหล่นแน่นอน “จุดหมายปลายทางช่างดูห่างไกลยิ่งนัก” ตาลพูดลอยๆขึ้นมา หลังจากที่เงยหน้าขึ้นไปดูที่ยอดเขา พร้อมถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ๆ 
 
เดินไปได้ซักครึ่งชั่วโมง หันไปเจอ ตาลหอบแฮ่กๆ ส่วนเรารู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อขากำลังร้องไห้ หันมามองหน้ากัน เอาไงดี!!ดูจากทรงแล้วสังขารคงไม่อำนวย หยุดที่ตรงนี้ละกัน ถ้าฝืนปีนขึ้นไปถึงยอดเขาแต่ไม่มีแรงปีนลงมาล่ะยุ่งเลย ดูวิวจากจุดนี่ก็สวยมากๆแล้ว  ส่วนเมกับเจตขอลุยต่อ มารู้ทีหลังตอนเมโทรมาบอกว่า “ ข้ากำลังลงแล้วนะ ไม่ไหวแล้วว่ะ” เมเล่าว่าเดินขึ้นไปสองชั่วโมงแล้วยังไม่ถึงหนึ่งในสามของเส้นทาง เลยตัดสินใจลงเหมือนกัน (เห็นตอนมันวิ่งลงเขามา เร็วมากๅ อย่างกับติดจรวด)
 
วันนี้เลยเหนื่อยหอบกันเป็นหมู่คณะ ไม่ไหวจริงๆ ไอที่เค้าบอกว่าขึ้นสามชั่วโมงถึงยอดเขา นี่มันคงเป็นมาตรฐานของนักปีนเขา ไม่ใช่นักท่องเที่ยวอย่างเราๆแน่นอน ยังถึกไม่พอสินะ ขอฟิตร่างกายให้พร้อมกว่านี้ก่อนคอ่ยเจอกันใหม่ Roy peak!!!
อยู่กับป่าเขาและธรรมชาติมาเยอะแล้วพอเข้ามาถึง Queenstown เจอบ้านเมือง เจอผู้คนบ้างก็รู้สึกสดชื่นดี ที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยว คนนิยมมาเล่นสกีที่นี่ วันที่เรามาตรงกับวันหยุดพอดี เลยได้เดินเล่นที่ตลาดนัดวันหยุด ชาวบ้านที่อาศัยแถวนั้นเอาของ Handmade เก๋ๆออกมาขายกัน ของน่ารัก บรรยากาศชวนให้ยิ้มจริงๆ 
กิจกรรมที่ Queenstown เราได้ไปล่องเรือดูสัตว์ต่างๆ เจอทั้งกวางเรนเดียร์หนุ่ม มีเขาที่สวยงาม  กระทิงป่า ตัวอัลปาก้า เพิ่งเคยเห็นตัวจริงครั้งแรก หน้าตาแปลกๆทั้งนั้น ได้ให้อาหารพวกมัน และได้พักดื่มชาด้วย ประทับใจและสนุกมาก  ที่ตลกคือเค้าโชว์ให้ดูเวลาหมาต้อนแกะ คือเห็นเลยว่าแกะกลัวจนตัวสั่น น่าสงสารและตลกในเวลาเดียวกัน เราสังเกตุสายตาของหมาเวลาต้อนแกะนะ โห ตาจิก แอ๊คท่าอย่างกับว่าตัวเองเป็นหมาป่าเลยอ่ะ ให้ความรู้สึกถึงความเป็นนักล่าอย่างแท้จริง ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่ารัก ได้เจอและใกล้ชิดกับสัตว์พวกนี้
ถ้าจะให้เปรียบ Queenstown เหมือนผู้หญิงก็คงเป็นผู้หญิงที่สวย น่าค้นหา มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ สวยยิ่งกว่าภาพวาดที่เคยเห็นซะอีก
ที่นี่มีร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังที่อร่อยขั้นเทพและไม่แพงเลย ถ้ามาแล้วห้ามพลาด Ferg Burger  แนะนำให้ลองเบอร์เกอร์แกะและเบอร์เกอร์ปลา อร่อยจนหยุดยิ้มไม่ได้  ที่นี่คนแน่นมาก เปิดมาจะ15ปีแล้ว พอกินเบอร์เกอร์เสร็จขอให้เดินไปกินของหวานต่อที่ร้าน Cookie times ปกติเป็นคนไม่ชอบกินคุ๊กกี้นะ แต่ชิมคุ๊กกี้ที่นี่แล้วต้องยอมแพ้ อร่อยมากๆ ยิ่งอันที่เพิ่งอบจากเตาและกินพร้อมนมสดนะ หื้มมม สุดๆอ่ะ ไม่อ้วนให้มันรู้ไป 
ที่ต่อไปคือ Glenorchy วันที่ไปถึงอากาศหนาวและลมแรงมาก เรียกได้ว่าน้องๆพายุ แรงจนพัดขาตั้งกล้องล้มเลยอ่ะ แต่คุ้มค่ามากที่ได้มา บรรยากาศของที่นี่ สวย สงบ บ้านไม้หลังเล็กๆตั้งอยู่ด้านหน้า ใกล้ๆกันมีสะพานไม้ทอดยาวให้เดินออกไปชมวิวทะเล ด้านหลังเป็นภูเขาขนาดใหญ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะทอดยาวสุดสายตา เป็นความเรียบง่ายที่ลงตัวและที่มีเสน่ห์ที่สุด สวยแบบซึ้งๆ บรรยากาศโรแมนติคมาก เหมาะที่จะมาเดินจูงมือ สวีทกับแฟนบนสะพานนี้ 
ทางผ่านอีกจุดนึงที่ชอบมากๆคือที่ Te Anau ประทับใจต้นไม้ที่นี่  ต้นใหญ่Texture สวย แค่เห็นก็รู้สึกผ่อนคลายแล้ว แอบไปยืนพิงรับพลังธรรมชาติมาด้วย
ข้างๆแนวต้นไม้จะเป็นทะเลสาบที่มีภูเขาอยู่ด้านหลัง เสียดายวันที่ไปฝนใกล้จะตก ท้องฟ้าเป็นสีเทาๆ หมอกลงบังภูเขามิดเลย 
มีอยู่วันนึงในระหว่างที่รถกำลังแล่นอยู่ หิมะตกมาเฉยเลย ตกมาแบบไม่ได้ตั้งตัว  พวกเรารีบจอดรถออกไปเล่นหิมะ ถ่ายรูปเล่นกัน สนุกจนลืมหนาว ตอนนั้นถ้ามีเฮลบลูบอยเราคงได้กินน้ำแข็งใสเวอร์ชั่นหิมะไปแล้ว
พวกเราได้ลงเรือเป็นครั้งที่สองที่ Milford Sound สัญลักษณ์ของที่นี่คือจะมีภูเขาแหลมๆ สะท้อนน้ำสวยงาม  เราลงเรือไปเพื่อไปดูวิวทะเลสาบ ภูเขาและน้ำตกอย่างใกล้ชิด แต่ตอนอยู่บนเรือครั้งนี้เราเฉยๆนะ มันไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ ชอบตอนลงเรือไปดูฝูงแกะกับกระทิงมากกว่า  
อีกวันนึงที่มีความสุขมากๆ ก็คือวันที่ได้ไปเมือง Arrow Town ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆตกแต่งสไตล์วินเทจ มีภูเขาและลำธารเล็กๆ พูดได้ว่าเป็นเมืองในฝัน น่ารักน่าอยู่จริงๆ อาจเป็นเพราะหิมะตกด้วย บรรยากาศรอบข้างก็เลยเปลี่ยนไป หันไปทางไหนก็สวยไปหมด เวลาเห็นหิมะกองบนหลังคาบ้านแล้วชอบอ่ะ บ้านดูน่ารักขึ้นมาทันที ถึงกับมโนกันว่าอยากเก็บตังซื้อบ้านที่นี่กันเลยทีเดียว เอ๊า ตื่นๆ!!
วันนี้พวกเราตกลงใจ ขอทำตัวกลมกลืนกับสถานที่ โดยเลือกเข้าไปทานอาหารเช้าในร้านฝรั่งเศษดั้งเดิม เอ่อ มานิวซีแลนด์เดินเข้าร้านฝรั่งเศษมันใช่หรา 5555 แต่ก็ไม่ผิดหวังนะ ร้านนี้ตกแต่งน่ารัก เจ้าของเป็นคนฝรั่งเศษ อาหารเช้าที่มาเสริฟก็เลยมาเป็นแนวฝรั่งเศษแท้ๆ อร่อยมากเลย ไม่แพงเท่าไหร่ด้วย 
เนื่องจากเป็นคนชอบถ่ายรูปดาวมาก แต่สภาพอากาศและท้องฟ้าตอนไปทริปไม่ค่อยจะอำนวยซักเท่าไหร่ เพราะอากาศหนาวจัด บางคืนก็ติดลบ ทำให้การขยับตัวออกจากรถเป็นเรื่องยาก สั้นๆก็คือขี้เกียจนั่นเอง และส่วนมากท้องฟ้าไม่ค่อยโปร่งใส มองเห็นแต่เมฆดำๆ  ทั้งทริปรูปดาวที่ได้เลยมีแค่ไม่กี่รูปเอง แต่มีช้างเผือกมาเป็นของแถม แค่นี้ก็ดีใจแล้วอ่ะ
ก่อนจะจบทริปเราได้เปลี่ยนบรรยากาศจากนอนในรถบ้านเป็นนอนที่ Backpacker Lodge สองคืน รู้เลยว่าสวรรค์มีจริง การที่ได้นอนในห้องที่มีประตูปิดมิดชิด มีฮีตเตอร์เปิดตลอดคืนท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บนั้น เป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว หลับสบายมากกก ไม่หนาวเหมือนตอนนอนในรถบ้าน ที่นี่พวกเราได้ดื่มด่ำกับวิว Mt cook เต็มๆ ภูเขาขนาดใหญ่ สวยสง่า ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า คิดภาพว่ายืนอยู่หน้าภูเขา ค่อยๆเงยหน้ามองขึ้นไป อารมณ์เหมือนดูหนังสามมิติแถวแรก!! คือเข้าใจว่าชัดเต็มสองตาก็วันนี้ มันไม่รู้จะอธิบายยังไง ให้สมกับคำว่า สวยอลังการ ที่นี่เราได้ไปTrekkingด้วย เป็นการเดินที่ยาวนานเหมือนกัน เดินไปกลับ 4 ชั่วโมง เราไม่สนว่าปลายทางจะเจออะไร เมกับเจตชวนเดินก็เลยมาเดิน แค่มองวิวสองข้างทางระหว่างที่เดินไป ก็มีความสุขมากแล้ว
เดินไปจนสุดทางเราเจอกับทะเล ใครลงไปว่ายเล่นคงจะแข็งตาย เพราะในนั้นมีก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์อยู่เป็นหย่อมๆ เมื่อก่อนคงจะก้อนใหญ่กว่านี้แน่ๆ แต่เนื่องจากโลกร้อนมากขึ้น มันก็เลยละลายเหลืออยู่เท่าที่เห็น ก้อนน้ำแข็งจะกระจัดกระจาย ริมทะเล แทนที่จะเป็นหาดทรายก็มีแต่น้ำแข็งเต็มไปหมด ลำพังลมทะเลหน้าหนาวก็หนาวมากอยู่แล้ว นี่เป็นลมทะเลหน้าหนาวที่มีน้ำแข็งอยู่ในนั้นด้วย โหววว!! อย่าถามว่าหนาวมั๊ย  หน้าชา มือชา ขาชา รีบถ่ายรูปแล้วก็รีบเดินกลับด่วนๆเลย 
 
ที่สุดท้ายก่อนลาจากนิวซีแลนด์ก็คือที่ Lake Tekapo เป็นอีกที่ที่ประทับใจมากๆ เราว่าทะเลสาบที่นี่เปลี่ยนสีได้ตามแสงอาทิตย์ วันที่มาถึงเป็นช่วงเย็น ที่นี่ก็ดูสวยงามเหมือนทะเลสาบทั่วไป ตื่นเช้ามาฝนตกหนักมองไปที่ทะเลสาบสีของมันก็ยังดูปกตินะ แต่พอฝนหยุดเท่านั้นแหละ น้ำจากสีปกติกลายเป็นสีฟ้าอ่อนๆเลย สีตัดกับโบสถ์และท้องฟ้า ส ว ย ม า ก จริงๆ เห็นแล้วอาลัยอาวรณ์ ไม่อยากจะกลับเล้ย

 

ปกติหน้าร้อนของที่นี่จะมีดอกไม้สวยๆที่ชื่อลูปินขึ้นเต็มไปหมด ตอนนี้เป็นหน้าหนาวก็พอมีให้เห็น บ้าง มีไม่มากแต่ก็ดีใจที่ได้เห็นดอกจริงๆของมันซักที
ก่อนกลับเราแวะขับรถขึ้นไปบนยอด Mt John ที่นี่มีร้านคาเฟ่เล็กๆน่ารักอยู่บนสุดของยอดเขา ชื่อ Astro Café ตอนขึ้นไปฝนตกพรำๆ มองไม่เห็นวิวอะไรเลย มีแต่หมอกขาวๆ นั่งอยู่ซักพักกำลังเพลินกับ hot chocolate แสนอร่อย หันออกไปมองเห็นแสงแดดอ่อนๆ ค่อยๆไล่มา จากหมอกที่มืดทึบ เผยให้เห็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใส แค่นั้นยังไม่พอ รุ้งกินน้ำวงเบ้อเริ่มโค้งเป็นอยู่เหนือหอดูดาวตรงหน้า ตอนนั้น อ้าปากค้างตะลึงกับความสวยอยู่3วิ นึกขึ้นได้เลยรีบหยิบกล้องมากดชัตเตอร์รัวๆ  
หลังจากที่ถ่ายรูปเล่นกันจนพอใจแล้ว ก็เลยขอถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึกอีก1รูป ทุลักทุเลนิดหน่อยเพราะใช้ตั้งขากล้อง แล้วก็รีบปีนขึ้นไปบนหิน กลัวตกเหมือนกัน กว่าจะปีนขึ้นไปครบทุกคน หมอกก็กำลังกลับมาอีกแล้ว พอถ่ายเสร็จดูรูป หัวเราะกันใหญ่ รูปหมู่พวกเรา วิวด้านหลังมองไม่เห็นทะเลสาบซะแล้ว  กลายเป็นวิวหมอกแทน อย่างงี้ทุกทีสินะ เวลาแห่งความสุขมักจะหมดเร็วเสมอ แต่ทุกๆครั้งที่ย้อนมาดูรูปก็อดยิ้มคนเดียวไม่ได้ เพราะรูปทุกใบมีความทรงจำอยู่ในนั้น นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่เราชอบถ่ายรูป : )
 
รายละเอียดสำคัญๆเกี่ยวกับรถบ้าน วีดีโอแนะนำการใช้อุปกรณ์ต่างๆอยู่ในรูปด้านล่างน๊า คลิ๊กเข้าไปดูได้เลยค่ะ  
bottom of page